- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- หมอประเวศปลุกมหาวิทยาลัยผนึกกำลัง “ปลดปล่อยพลังปัญญา”
หมอประเวศปลุกมหาวิทยาลัยผนึกกำลัง “ปลดปล่อยพลังปัญญา”
ชี้ข้อบกพร่องอุดมศึกษาไทย ไม่ผลิตคนคืนท้องถิ่น แนะมหาวิทยาลัยพลิกมุมมองใหม่ สวมแว่นตามองสังคม พร้อมดันโครงการ “1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัย” หนุนขบวนการปฏิรูป
วันนี้ (2 ส.ค.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และมูลนิธิพัฒนาไท จัดประชุมระดมความคิดเห็นจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ทั้งมหาวิทยาลัยรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาเอกชน เพื่อร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ โดยสถาบันอุดมศึกษา ณ อาคารคอนเวนชั่นเซนเตอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี จ.นนทบุรี
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานเครือข่ายสถาบันทางปัญญา และประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ร่วมสร้างประเทศไทย : ปฏิบัติการโดยมหาวิทยาลัยเพื่อแก้วิกฤติชาติ” โดยระบุถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยว่า มหาวิทยาลัยเป็นขุมพลังปัญญาที่ใหญ่ที่สุดในสังคมมีบุคลากรทั้งอาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษาที่สังกัดในมหาวิทยาลัยนับแสนคน ซึ่งจะเป็นพลังปัญญาและพลังสังคมที่ช่วยในการแก้ปัญหาวิกฤตชาติในสถานการณ์ปัจจุบันได้
ส่วนบทบาทมหาวิทยาลัยในการแก้วิกฤตชาตินั้น ประธานคสป. กล่าวว่า มี 3 แนวทางหลัก คือ 1.มหาวิทยาลัยต้องสร้างจิตสำนึกแห่งความเป็นธรรม ต้องทำให้นักศึกษา อาจารย์ นักวิชาการ และบุคลากรในสถาบันตระหนักและเป็นผู้มีจิตสำนึกแห่งสัมมาทิฐินี้ในตน ซึ่งหากทำได้จะเป็นพลังหัวรถจักรใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงสังคม 2.สร้างฐานของชาติให้มั่นคงแข็งแรง โดยมหาวิทยาลัยต้องสร้างความเข้มแข็งมั่นคงให้ชุมชนท้องถิ่น ทั้งนี้เพื่อไปหนุนการสร้างจิตสำนึกแห่งความเป็นธรรมด้วย
และ3.มหาวิทยาลัยต้องช่วยสังเคราะห์นโยบายสาธารณะร่วมกับชุมชน เพราะที่ผ่านมามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เกือบจะไม่มีการสอนเรื่องนโยบายสาธารณะ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้มหาวิทยาลัยเข้ามามีส่วนร่วมช่วยสังเคราะห์นโยบายสาธารณะที่ดี ซึ่งเสนอให้ทำโครงการ 1 จังหวัด 1มหาวิทยาลัย ให้มหาวิทยาลัยลงไปช่วยท้องถิ่นยึดการทำงานแบบมีส่วนร่วมกันในพื้นที่ (AFP :Area Function Participation) เช่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่ร่วมกับจ.พัทลุง, มหาวิทยาลัยรังสิตกับจ.ปทุมธานี, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒกับจ.นครนายกและจ.สระแก้ว ฯลฯ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นเต็มที่จังหวัดและครบทุกจังหวัด
“บุคลากรในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศหากรวมพลังกัน พลังมหาวิทยาลัยจะเป็นกุญแจสำคัญปลดปล่อยพลังปัญญาได้ ดังนั้นต้องร่วมกันต้องมอบกุญแจที่จะทำให้มหาวิทยาลัยได้ปลดปล่อยพลังออกมา ทุกมหาวิทยาลัยต้องพลิกมุมมองใหม่ ไม่ใช่เปลี่ยนมุมมอง เพราะขณะนี้มหาวิทยาลัยมีมุมมองจากภายในมองที่ตัววิชาการ ศาสตร์คณะต่างๆ ยึดตำราเป็นตัวตั้ง ไม่รู้ร้อนหนาวในสังคม เราต้องพลิกมุมมองใหม่โดยมองจากสังคมจากภายนอก ใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ซึ่งจะทำให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยจะสามารถช่วยแก้ไขอะไรได้บ้าง”
ประธานเครือข่ายสถาบันทางปัญญา กล่าวถึงแนวทางโครงการ 1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัยว่า ลำดับแรกมหาวิทยาลัยต้องสำรวจรวบรวมจัดทำข้อมูลจังหวัด เพื่อให้รู้เข้าใจพื้นที่ว่ามีใครส่วนใดทำอะไรบ้างในจังหวัด มีปัญหาใดอีกบ้างที่ต้องทำ 2.ส่งนักศึกษาลงพื้นที่ไปอยู่กับชาวบ้านจริงจังไปทำความเข้าใจเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชน ไม่ใช่แค่การออกค่ายแค่สร้างโรงเรียน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีแก่กันโดยนักศึกษาจะเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างชนชั้นนำในสังคมกับชาวบ้านให้เข้าใจกัน เพราะขณะนี้มีกลุ่มคนยุยงให้ชาวบ้านเกลียดนักศึกษาทำให้ไม่เข้าใจกัน
3.มหาวิทยาลัยต้องร่วมทำแผนชุมชนกับชาวบ้านอย่างบูรณาการทั้งด้านเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ การศึกษา และประชาธิปไตย 4.ต้องพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้กับชุมชน เข้าไปใช้วิชาการความรู้ช่วยในส่วนนี้ให้เต็มที่ 5.ส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งเทศบาล อบต. อบจ. ให้สามารถเข้ามาช่วยหนุนชุมชนได้ดีขึ้น 6.ช่วยสังเคราะห์ประเด็นนโยบายจากการปฏิบัติ 7.ช่วยสร้างกระบวนการสื่อสารให้ชุมชน 8.ผลิตกำลังคนที่ชุมชนท้องถิ่นต้องการ และ 9.มหาวิทยาลัยต้องเปิดให้ทุกคนเข้ามีส่วนร่วมกันพัฒนาท้องถิ่น ให้มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์จัดการความรู้ในพื้นที่ ทั้งนี้ฝ่ายรัฐโดยนายกรัฐมนตรีก็ควรกำหนดนโยบายสนับสนุนที่แรงและชัดเจน รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สกอ.ต้องช่วยรับสานต่อนโยบายจากรัฐ ส่วนมหาวิทยาลัยและสกอ.ต้องมีโครงสร้างรองรับเรื่องนี้ด้วย
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า เกือบ 100 ปีที่ผ่านมาสังคมไทยทำการพัฒนาประเทศที่มุ่งทำแค่ระดับบนทั้งระบบกฎหมาย การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ ไม่ได้สร้างการพัฒนาจากฐานล่าง ซึ่งคือชุมชนท้องถิ่นที่เป็นฐานของประเทศ ปัญหาสำคัญในทุกวันนี้คือปัญหาเชิงโครงสร้างความเหลื่อมล้ำและช่องว่างความไม่เป็นธรรม ดังนั้นการศึกษาจะสอนหรืออบรมให้ไปร่วมสร้างอะไรก็ตามจะไม่ได้ เพราะโครงสร้างยังมีความไม่เป็นธรรม ฉะนั้นการจะพัฒนาใดๆ ต้องเริ่มจากพัฒนาปฏิรูปทางจิตสำนึกก่อนซึ่งต่างประเทศได้พิสูจน์แล้ว
"ระบบการศึกษาไทยที่ผ่านมามุ่งดึงเด็กเยาวชน นักศึกษาเข้าสู่การแข่งขันในอุดมศึกษา อุดมศึกษาเกิดภาวะแออัดยัดเยียดและไม่ได้สร้างการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นอย่างบูรณาการ ไม่ได้ผลิตคนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่น ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยก็สร้างงานวิจัยที่เป็นเชิงเทคนิค ไม่ใช่งานวิจัยที่ตั้งเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหา อีกทั้งต้องแบกภาระการสอนอย่างหนักให้กับคนที่ไม่อยากเรียนรู้แต่แค่อยากได้ปริญญาบัตรเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะต้องออกแบบระบบการศึกษาใหม่"
สำหรับข้อเสนอในการปรับบทบาทของระบบการศึกษาไทย ประธานเครือข่ายสถาบันทางปัญญา กล่าวว่า ระบบการศึกษาต้องสร้างการศึกษาโดยชุมชนเพื่อชุมชน, ต้องทำให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาสามารถมีรายได้ระหว่างเรียน ผู้ประกอบการในท้องถิ่นและระดับต่างๆ ต้องเข้ามาช่วยสนับสนุนการศึกษาส่วนนี้ให้เต็มทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และระบบการศึกษาต้องสร้างการศึกษาเพื่อวิชาการด้วย ซึ่งขณะนี้มีความพยายามผลักดันกองทุนสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) หรือสสส.ทางการศึกษาอีกทางหนึ่ง