- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ประเทศเดินมาถึงทางแยก รมช.คลัง เรียกร้องรบ.ทำให้คนไทยรวยขึ้นในทศวรรษนี้
ประเทศเดินมาถึงทางแยก รมช.คลัง เรียกร้องรบ.ทำให้คนไทยรวยขึ้นในทศวรรษนี้
"ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์" ลั่นเป็นไปได้ หากกลับมาอยู่กับร่องกับรอย ขยายการลงทุน หนุนเสริมภาคธุรกิจให้แข็งแกร่ง เชื่อไม่ช้าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
วันนี้ (19 ส.ค.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จัดสัมมนาวิชาการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ครั้งที่ 7 ประจำปี 2553 (FPO Symposium 2010) ในหัวข้อ “ยกเครื่องเศรษฐกิจและการคลัง ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม” ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดการสัมมนา และปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับภาพรวมของเศรษฐกิจไทย
นายประดิษฐ์ กล่าวถึงเรื่องการกระจายรายได้ ว่า ประวัติศาสตร์ของโลกสอนบทเรียนว่า การลดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนไม่ได้แก้ปัญหา เรื่องช่องว่างไม่ใช่ประเด็นหลัก ดังนั้น ควรมุ่งที่จะพูดถึงการยกระดับความมั่นคงให้คนยากจนอย่างยั่งยืน ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปและเกิดความร่ำรวยของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเครื่องยนต์สำคัญคือภาคธุรกิจ
“ในอดีตไม่เคยมีอะไรสร้างความมั่งคั่งให้คนไทยเท่ากับภาคธุรกิจ ดังนั้นต้องช่วยให้ภาคธุรกิจประสบความสำเร็จและสามารถแข่งขันได้ เช่น สิงคโปร์ คำถามว่า ทำไมถึงรวยกว่าคนไทยถึง 6 เท่า” รมช.คลัง กล่าว และเรียกร้องให้รัฐบาล ทำให้คนไทยรวยขึ้นในทศวรรษนี้ อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้
รมช.คลัง กล่าวถึงเรื่องการศึกษา ว่า การปฏิรูปการศึกษา ต้องทำให้เหมาะสม สร้างคนรุ่นใหม่ให้ขับเคลื่อนประเทศต่อไป เราพูดมากเรื่องการศึกษา แต่วันนี้ตัวเลขออกมาการศึกษาของไทยล้าหลังกว่าประเทศอื่น ขณะที่การทำนโยบายจะทำอย่างไรให้วิธีคิดและการทำนโยบายให้ดีขึ้น
“ความร่วมมือเป็นกุญแจสำคัญ การบริหารบ้านเมืองวันนี้มีความซับซ้อนมาก การออกนโยบายที่เหมาะสมจำเป็นต้องมีความคิดที่กว้างและลึกซึ้ง ภาคธุรกิจ เอ็นจีโอ ต้องเข้ามามีส่วนร่วม แทนที่จะเป็นรัฐมนตรีคนเดียว หรือรัฐบาลฝ่ายเดียว ภาคธุรกิจ นักลงทุนต้องเข้ามาคิดแนะนำ กำหนดนโยบายร่วมกัน ช่วยคิดทำนโยบาย ไม่ควรให้นักการเมืองทำฝ่ายเดียว”
นายประดิษฐ์ กล่าวอีกว่า จากนี้ไปอีก 5 ปีข้างหน้า อาเซียนจะรวมเป็นตลาดเดียว แรงงาน สินค้า การลงทุน เคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี ประเทศไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง หากเราต้องการเป็นประเทศเจริญรุ่งเรื่อง วันนี้ต้องขยับตัวอย่างรวดเร็ว กลับมาอยู่กับร่องกับรอยเสียที โดยเฉพาะการขยายการลงทุนมากเท่าไหร่ก็ทำให้เรามีประสิทธิ์ภาพ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ได้
นอกจากนี้ รมช.คลัง กล่าวถึงโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชน Public Private Partnerships (PPPs) ที่รัฐยังต้องเร่งให้ความรู้และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจก่อนเริ่มลงมือทำ และควรเริ่มจากโครงการจากเล็กๆ ก่อน
“ประเทศไทยขาดพลังก้าวไปข้างหน้า เมื่อหันไปดูประเทศอื่นทิ้งห่างเราไปมาก 5 ปีที่ผ่านมา สิงคโปร์มีจีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้น 2 เท่า มาเลเซียมากกว่าไทยถึง 8 เท่า อินโดนีเซีย ต่ำกว่า 8 เท่านิดหน่อย ไทยหวังเป็นผู้นำการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมวันนี้ถูกท้าทายแล้ว ตัวเลขล่าสุด รัฐบาลประกาศตัวเลขส่งออกมากขึ้นนั้น ความจริงไม่ใช่ สิงคโปร์ มาเลเซีย มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าไทย อันดับหนึ่งมาเลเซียมีส่วนแบ่งทางการตลาด 34% ของภูมิภาคนี้ สิงคโปร์ 26% ไทย 14.6% อินโด 14.4% ในไม่ช้าไทยตกเป็นอันดับ 4 แน่นอน”
รมช.คลัง กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเดินถึงทางแยกที่สำคัญ เราเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว โลกและประเทศในภูมิภาคมีการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งไทยจะไม่สามารถเดินสู่ความสำเร็จได้ ถ้าไม่มีจุดหมายที่ชัดเจน ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องมีการเริ่มทำในสิ่งที่สร้างความสามารถในการแข่งขัน ปรับปรุงระบบเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคเอกชนต้องแข็งแกร่ง การจัดเก็บภาษีก็ไม่มุ่งหาเงิน เพื่อประชานิยมอย่างเดียว แต่ควรนำมาเป็นเครื่องมือเสริมสร้างการแข่งขันของธุรกิจของประเทศด้วย
“สุดท้ายกฎหมายจะต้องเป็นอำนาจสูงสุดที่ทำให้ความถูกต้องเกิดขึ้นมา ถึงเวลาแล้วหยุดมองอดีต มองสีเสื้อ หันมาเน้นการสร้างโอกาส สร้างชีวิตให้กับประชาชนให้กินดีอยู่ดี ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่มีพลเมืองเป็นเสื้อสีต่างๆ เรามีพลเมือง ที่เป็น พ่อ แม่ พี่น้อง เป็นเพื่อนบ้านที่ดี รักสงบ ดังนั้น จึงอยากเห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของสังคมไทย”