- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นักวิชาการชี้ปฏิรูปอย่ามุ่งแก้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้อย่างเดียว
นักวิชาการชี้ปฏิรูปอย่ามุ่งแก้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้อย่างเดียว
“อภิชาต สถิตนิรามัย” เปิดผลวิจัยยัน ควรให้สนใจมิติอื่นๆ ด้วย เหตุวิถีคนชนบทเปลี่ยนไปแล้วเหมือนคนเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญหาความไม่เท่าเทียมทางด้านความมั่นคงในชีวิตที่รัฐให้ไม่เท่ากัน ด้านดร.พิชญ์ โทษรัฐประหารกระทบระบบความเป็นธรรม-ความเหลื่อมล้ำอย่างมหาศาล
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการเพื่อติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา จัดเสวนาครั้งที่ 4 เรื่อง "ก้าวต่อไปประเทศไทย : ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้ประชาชน” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 310 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2 กรุงเทพมหานคร มี ผศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ทำวิจัย เรื่อง "ใคร คือ คนเสื้อเหลือง/แดง", ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , พลเอกเอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า , และนายมณเฑียร บุญตัน นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยและสมาชิกวุฒิสภา ร่วมเป็นวิทยากร ดำเนินรายการโดย นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ สมาชิกวุฒิสภา
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวว่า ขณะนี้ความเป็นอยู่ของชุมชนเมืองและชุมชนชนบทเข้าใกล้กันมาก จนไม่สามารถเขียนเส้นแบ่งได้ อีกทั้งกรอบวิเคราะห์เดิมก็ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป แบบแผนวิถีชีวิตระหว่างคนเมืองกับคนชนบท แทบจะแยกต่างกันไม่ได้ เพราะมีการบริโภคสินค้าคงทนในอัตราที่ใกล้เคียงกัน อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ จะมีเพียงแค่ รถยนต์ และเครื่องซักผ้า ที่ชุมชนเมืองมีมากกว่าเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า รูปแบบการบริโภคของแต่ ละครัวเรือนไม่ได้แตกต่างกัน
“วันนี้ชนบทไม่ใช่ภาคเกษตรกรรมอีกต่อไป ภาคเกษตรกรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชนบท จากการแตกตัวของอาชีพต่างๆ ทำให้คนชนบทมีรายได้นอกภาคการเกษตร อาทิ ค้าขาย รับจ้าง ช่างเสริมสวย อีกทั้ง ภาคเกษตรกรรมขาดแคลนแรงงาน เพราะการอพยพวัยหนุ่ม-สาว เข้ามาอยู่ในเมือง มากกว่านั้น คือ การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ ส่งผลให้ชาวนากลายเป็นผู้ประกอบการทางการเกษตร ผูกพันกับวิถีชีวิตการตลาดอย่างแยกไม่ออก”
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวอีกว่า แม้ว่าวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของการบริโภคของคนชนบท กับคนเมืองแตกต่างน้อยลง แต่ปัญหาความมั่นคงในชีวิตก็ยังแตกต่างกันมาก คนในเมืองมีประกันสังคม แต่คนชนบทไม่มี เกิดเป็นความไม่เท่าเทียมเรื่องความมั่นคงในชีวิต เช่น การรักษาพยาบาลแต่ละครั้ง คนเมือง ได้เงินชดเชย แต่คนชนบท ต้องสูญเสียรายได้ จนเกิดเป็นหนี้ ขณะที่รัฐไม่เคยเข้ามาเหลียวแลอย่างจริงจัง
“แต่เดิมเคยมีนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้สามารถช่วยให้คนที่อยู่นอกระบบได้รับบริการ แต่ถึงอย่างไรก็คงยังไม่เพียงพอ จากการวิจัยในช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาของกลุ่มคนเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ก็ยังคงพบด้วยว่า เหตุที่คนออกมาประท้วงรัฐบาล ความเห็นส่วนใหญ่ 28% เพราะต่อต้านการรัฐประหาร ทหารแทรกแซงการเมืองและต้านระบบสองมาตรฐานของการเมือง รองลงมา 18% เพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และ 3% ออกมาประท้วงเพราะศรัทธาในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และที่สำคัญไม่มีผู้ใดตอบว่าที่ออกมาสนับสนุนคนเสื้อแดงเพราะต้องการให้มีการแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงปัญหา ดังนั้น ความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งส่งผลให้ความขัดแย้งในปัจจุบัน ไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก”
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ประเทศไทยมีความไม่เท่าเทียมทางด้านเศรษฐกิจมากว่า 20 ปี ซึ่งความขัดแย้งครั้งนี้น่าจะมาจากความไม่เท่าเทียมทางการเมืองมากกว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ดังนั้น อยากฝากไปยังคณะกรรมการปฏิรูปที่ถูกตั้งขึ้นมา ว่า หากเพียงสนใจจะปฏิรูปเพียงความเหลื่อมล้ำทางรายได้เท่านั้น โดยไม่สนใจความเหลื่อมล้ำมิติต่างๆ เช่น มิติความมั่นคงทางรายได้ อาจจะไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งครั้งนี้ได้
“รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นเหตุผลหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง เพราะถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเลือกตั้ง ที่รัฐบาลมีนโยบายที่เป็นประชาธิปไตยกินได้ ให้สิทธิ์คะแนนเสียงของผู้เลือกตั้งเป็นนโยบาย แม้ว่าจะสร้างให้ฝ่ายบริหารเข้มแข็ง แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนชอบ คือ การสามารถทำตามสัญญากับผู้เลือกตั้งได้จริง”
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวว่า การเกิดรัฐประหาร จึงไปทำลายสิ่งที่ชาวบ้านได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง จนสะสมเป็นการรวมตัวต่อต้านการรัฐประหาร นอกจากนั้น การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่ปี 2542 ก็มีส่วน อย่างสำคัญที่ทำให้ระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน เข้าสู่วิถีชีวิตชาวบ้านมากขึ้น จึงทำให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของคะแนนเสียงของตนเอง ถือได้ว่า รัฐประหารไปกระชากความไม่ธรรมในสังคมให้เกิดขึ้น
ด้าน ดร.พิชญ์ กล่าวถึง ความเหลื่อมล้ำ กับความเป็นธรรม อาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่ในเวลานี้ปัญหาใหญ่ของการต่อสู้ คือ เรียกร้องความเป็นธรรม ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม
“ปัญหาของสังคมไทยแบ่งได้เป็น 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ 1.ความเหลื่อมล้ำของวัฒนธรรมเชิงอคติ ระหว่างชนบทและคนเมือง ความรู้สึกที่คนชนบทคิดว่า เป็นคนบ้านนอก ต่างจังหวัด ถูกดูถูก จากสื่อต่างๆ อีกทั้งความรู้สึกที่ถูกสร้างว่า ชนบทมีการซื้อเสียง ยังคงเป็นเรื่องที่น้อยเนื้อต่ำใจ และ2. ความไม่เป็นธรรมทางการเมือง เรื่องกฎหมายและนำไปสู่การตอบสนองการขับเคลื่อนของสถาบันเป็นตัวแทนของประชาชน คือ รัฐสภา ไม่ได้ทำงานเชิงรุก ไม่ตอบสนองกับการเมืองบนท้องถนน ซึ่งอาจต้องปรับปรุงกระบวนการ สื่อของรัฐสภาต้องทำทันที เรียกทั้งสองฝ่ายมาคุยกัน ปรับกระบวนให้ตัวแทนตอบสนองการเมืองนอกสภาได้”
ดร.พิชญ์ กล่าวด้วยว่า การเกิดรัฐประหาร เป็นกรรมร่วมกันของทุกคน เพราะได้สร้างความกระทบกระเทือนต่อระบบความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำอย่างมหาศาล ที่เราย้อนกลับไปไม่ พร้อมทั้งมองว่า เงื่อนไขการเกิดรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่มีลักษณะพิเศษ จนไม่อาจลบเลือนความทรงจำของคนได้ และถูกนำมาหาประโยชน์ให้นักการเมือง แม้กระทั่งพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ไม่ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น หน้าที่หลักของรัฐสภาต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมาธิการชุดต่างๆต้องทำงานเชื่อมโยงกับประชาชน ทำให้รัฐสภาเป็นมากกว่าการเป็นสภาโจ๊ก และให้คนรู้สึกว่า รัฐสภาเป็นสภาการเมืองที่ใหญ่ ทำงานด้วยระบบกรรมาธิการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนากันต่อไป
ส่วนพล.อ.เอกชัย กล่าวถึงรัฐธรรมนูญไทยเป็นแบบตัดต่อพันธุกรรม เอาข้อดีจากต่างชาติมาหมด ทำให้การปกครองมีความเหลื่อมล้ำ แม้ว่าวันนี้ระบบการตรวจสอบภาคสังคมเข้มแข็งขึ้น แต่ในระบบรัฐสภาที่พัฒนาจากคนที่เกษียณจากการทำงาน และเมื่อกองทัพยังเป็นส่วนหนึ่งนั้น อำนาจทั้งหมดก็ยังส่งผลให้มีความอยุติธรรมอยู่
“สิ่งต้องทำในเพื่อหาทางออก คือ ต้องสร้างให้นักการเมืองเห็นคนจนมากกว่าแค่การปกป้องคนรวย หรือมองเฉพาะท้องถิ่นตนเอง แต่ต้องมองประเทศชาติ”
พล.อ.เอกชัย กล่าวว่า สหประชาชาติ บอกไว้ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองพึงต้องระวังไว้ 2 เรื่อง คือ รัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้ง และสิ่งที่รัฐต้องจัดการให้ได้มี 5 เรื่อง มิเช่นนั้นจะเกิดความขัดแย้ง คือ 1.ความเป็นธรรมในสังคม 2.ความแตกต่างทางเชื้อชาติและศาสนา ซึ่งขณะนี้เกิดในภาคใต้ 3.ภูมิรัฐศาสตร์ ที่ใครอยู่ไกล ต้องเอาใจใส่มากขึ้น 4.การปกครองท้องถิ่น หากไม่โปร่งใส จะเกิดความขัดแย้ง 5.กฎหมายบังคับและการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ซึ่งต้องทำหน้าที่ควบคู่กันไปทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม
ขณะที่นายมณเฑียร กล่าวว่า สังคมไทยแม้จะมีดีมากน้อยแค่ไหน แต่ยังไม่มีการจัดระบบทางความคิดที่ดี จึงกระจัดกระจาย การสร้างประวัติศาสตร์แบบสายเดียว การปลูกฝังในระบบการศึกษา ที่เน้นวัฒนธรรมเมืองหลวง เป็นมาตรฐาน ทำให้คนหลายกลุ่มน้อยเนื้อต่ำใจในเรื่องวัฒนธรรมของตนเอง จนเป็นต้นตอที่นำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบทางสังคม เกิดการเลือกปฏิบัติ สร้างความเกลียดชัง จนเกิดย้อนรอยรากเหง้าต้นเหตุความเหลื่อมล้ำ
“ตัวสำคัญคือวัฒนธรรมที่ต้องเข้าใจให้มาก หากไม่เปลี่ยนวิธีคิด ประชาชนจะยังคงคิดเช่นเดิมต่อไป เห็นความถูกต้อง คือ เมืองหลวงที่ต้องมีมาตรฐานเหมือนกัน แต่เมืองอื่นเป็นเพียงเศษวัฒนธรรม จะเป็นอันตราย” นายกสมาคมคนตาบอดฯ กล่าว และว่า เสน่ห์ความยั่งยืนของสังคมไทยอยู่ที่ความหลากหลาย เพราะไม่มีวัฒนธรรมบริสุทธิ์ในสังคมเกิดขึ้นได้แน่นอน ทุกอย่างต้องประกอบกันขึ้นจากหลากหลายพื้นฐาน ซึ่งหากคนไทยทุกคนยอมรับได้ การแก้ไขประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหาร จะลดน้อยลง