- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ผู้หญิงพลิกโฉมฯ ผนึกกำลังประกาศเจตนารมณ์ ขจัดความเหลื่อมล้ำ
ผู้หญิงพลิกโฉมฯ ผนึกกำลังประกาศเจตนารมณ์ ขจัดความเหลื่อมล้ำ
พลังสตรี : ขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคม “สุธีรา วิจิตรานนท์” วอนสังคมคำนึง การมีส่วนร่วมของผู้หญิง ให้มีสัดส่วนเท่าเทียมกับชาย เพื่อสังคมไทยน่าอยู่ ด้าน “เรวดี ประเสริฐเจริญสุข” หนุนปลุกพลังสตรีทั่วประเทศร่วมวงปฏิรูป
วันนี้ (15 ต.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 5 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง กรุงเทพฯ เครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย ร่วมกับ องค์กรสตรี กว่า 35 องค์กร จัดเวทีผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย ครั้งที่ 1 “ขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคม”
ดร.สุธีรา วิจิตรานนนท์ ประธานเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย กล่าวว่า การพลิกโฉมสังคมไทยไม่ได้หมายถึงว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่หมายถึงทุกคนที่ต้องก้าวไปอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กัน เพื่อช่วยปฏิรูปสังคมไทยให้น่าอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ การจัดระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ที่เน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมได้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และจัดการกับความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่เป็นธรรม
ส่วนการทำงานนั้น ประธานเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย กล่าวว่า ต้องการเห็นผู้หญิงได้มีโอกาสเข้าไปเป็นคณะกรรมการอิสระ เพื่อให้คณะกรรมการทุกชุดได้มีมุมมองผู้หญิงอย่างทั่วถึง โดยภารกิจหลักของเครือข่ายฯ จะเน้นการดูแลการดำเนินงานในคณะกรรมการแต่ละชุดให้มีมุมมอง หญิงชายในสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน และประสานความร่วมมือในทุกมิติ ซึ่งจากการจัดเวทีในครั้งนี้ จะช่วยสะท้อนเจตนารมณ์ให้คณะกรรมการแต่ละเครือข่ายให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้หญิงเป็นสำคัญ
ดร.สุธีรา กล่าวถึงกรณีการเลือกตั้งเมื่อปี 2550 มีพรรคการเมืองร่วมในการเลือกตั้ง 6 พรรค มี 2 พรรค ไม่ส่งผู้หญิงเลย ซึ่งจากที่ได้มีการติดตามกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้อธิบายว่า ไม่สามารถหาได้ จึงไม่มีผู้หญิงลงสมัคร หรือแม้กระทั่งการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ก็ขอให้คณะกรรมการสรรหาคำนึงถึงโอกาส แต่ในการสรรหาคราวทีแล้ว มี ส.ว. 10 % ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ควรอย่างยิ่งที่ต้องมีความพยายามผลักดันการดำเนินการของผู้หญิง ให้เปลี่ยนคำว่า “ต้องคำนึงโอกาส” ให้เป็น “โดยมีโอกาส” หรือให้เป็นเพศหญิงครึ่งหนึ่งและเพศชายครึ่งหนึ่งอย่างเท่าเทียมด้วย
ด้านนางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข ประธานคณะกรรมการเครือข่ายพลังสตรีเพื่อการปฏิรูป ในคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า สังคมไทยพบปรากฎการณ์ความยากจน เหลื่อมล้ำ การเกิดความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เป็นธรรม เพราะมองผู้หญิงเป็นเหมือนช้างเท้าหลัง ซึ่งถึงเวลาแล้วว่า ต่อไปพลังสตรีที่มีอยู่มหาศาลจะถูกใช้อย่างไร หรือการที่ผู้หญิงถูกกระทำซ้ำซ้อน ไม่ได้อยู่ในหลักมนุษยชน จะต้องไม่ปล่อยให้สิทธิปรากฏเพียงในเศษกระดาษ แต่ต้องลงสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง
“จากวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป เพื่อตอบสนองสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งการปฏิรูป ก็ไม่ได้ฝากไว้ที่ตัวคณะกรรมการ แต่อยู่ที่ประชาชนด้วยว่า จะให้น้ำหนักอย่างไร”
จากนั้น เครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย ได้ประกาศเจตนารมณ์ “พลังสตรี : ขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคม” ได้รับเกียรติจาก ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร , ศ.ดร.ปราณี ทินกร ตัวแทนคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย , นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ตัวแทนคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย , รศ.ดร.จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย ตัวแทนคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ,นางเรืองรวี พิชัยกุล ตัวแทนคณะกรรมการปฏิรูประบบงานตำรวจ และตัวแทนองค์กรสตรีกว่า 35 องค์กร ร่วมลงนามเป็นสักขีพยาน
สำหรับคำประกาศเจตนารมณ์ พลังสตรี : ขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคม มี 3 ข้อ คือ 1.การปฏิรูปที่จะพลิกโฉมการขจัดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริงจะต้องเป็นการปฏิรูปที่ให้ความสำคัญกับการขจัดความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศโดยทัดเทียมกับการขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคม 2.พลังสตรีจะยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กับบุรุษในการให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการปฏิรูปทุกคณะในการปฏิรูปประเทศ เพื่อสร้างความเป็นธรรมระหว่างเพศและความเป็นธรรมในสังคม 3.พลังสตรีจะร่วมกับภาคีอื่นๆ ทั้งภารัฐและเอกชนในการพลิกโฉมประเทศไทย เมื่อการปฏิรูปยึดผลประโยชน์ของประชาชนทั้งหญิงและชายเป็นที่ตั้ง โดยคำนึงถึงเงื่อนไขความแตกต่างของหญิงและชายในสังคมไทย
ทั้งนี้ เครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย มีข้อเสนอ 7 ข้อในการพลิกโฉมประเทศไทย ดังนี้
1.ถึงเวลาแล้วที่ประเด็นความเสมอภาคระหว่างหญิงชายควรได้รับความสำคัญให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยที่รัฐและกลไกประชาธิปไตยทั้งหมดต้องใช้กลไกการบูรณาการมิติความแตกต่างหญิงชายที่ได้จัดตั้งแล้วในทุกกระทรวงกรมกองอย่างจริงจัง และมีประสิทธิภาพ
2.รัฐ และกลไกประชาธิปไตยทั้งหมด รวมทั้งภาคประชาสังคมต้องเร่งการเพิ่มสัดส่วนสตรีทางการเมืองในทุกระดับให้ได้ตามเป้าหมาย ตามที่รัฐได้กำหนดไว้ในเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goais) และปฏิญญาปักกิ่งภายใน พ.ศ.2559
3.นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต้องคำนึงถึงความมั่นคงในการจ้างงานของสตรีเท่าๆ กัน กับความมั่นคงในการจ้างงานของผู้ชายทั้งการจ้างงานในระบบและนอกระบบ เพราะความมั่นคงของครอบครัวไม่ได้ขึ้นอยู่กับรายได้ของผู้ชายเพียงลำพัง
4.รัฐบาล และฝ่ายนิติบัญญัติต้องเร่งสร้างระบบกฎหมาย รวมทั้งมาตรการพิเศษในการขจัดความรุนแรงต่อสตรีและเด็กหญิงในทุกๆด้าน โดยเฉพาะความรุนแรงทางเพศที่เป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงในชีวิต และอาชีพของสตรีในปัจจุบัน
5.ให้การศึกษาเป็นเครื่องมือพื้นฐานของการสร้างเสริมความเสมอภาคระหว่างหญิงชายและการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้หญิง
6.รัฐ และทุกภาคส่วนของสังคมต้องตระหนักถึงการเป็นหุ้นส่วนในการเป็นเจ้าของ ทรัพยากรธรรมชาติของสตรี ดังนั้น นโยบายและแผนการพัฒนาใดๆที่กระทบต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติต้องคำนึงถึงการ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจของสตรี
7.รัฐต้องเร่งสร้างความเข้าใจต่อสังคมในเรื่องสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสตรีที่สตรีไม่ต้องร้องขอ