- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- หลวงแม่ชี้กม.ไทยอุปสรรคใหญ่พุทธบริษัทสี่ มีองค์ประกอบไม่ครบ
หลวงแม่ชี้กม.ไทยอุปสรรคใหญ่พุทธบริษัทสี่ มีองค์ประกอบไม่ครบ
ภิกษุณีธัมมนันทา ระบุ พุทธศาสนาในสังคมไทยยังหยั่งรากไม่ลึกพอ มีแค่พุทธบริษัทสาม ขาดพื้นที่ให้แก่ ‘ภิกษุณี’ เลยเรียกได้ไม่เต็มปาก มัชฌิมาประเทศ
วันที่ 29 ต.ค. อนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนป้องกันการทุจริตและตรวจสอบภาครัฐ คณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และสร้างเสริมธรรมาภิบาล วุฒิสภา ร่วมกับมูลนิธิปริญญาโท นักบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาเวทีภาคประชาชน เรื่อง “ภิกษุณีกับการเติมเต็มพุทธบริษัทสี่” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ 306 อาคารรัฐสภา 2 เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และนำไปสู่การผลักดันให้มีการแก้ไข มาตรา 5 ทวิแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ให้มีความหมายรวมถึงภิกษุณีสงฆ์ที่อุปสมบทในศรีลังกาวงศ์ เพื่อให้ภิกษุณีในประเทศไทยมีสถานภาพทางกฎหมาย ในการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางราชการ และการปฏิบัติศาสนกิจของภิกษุณีสามารถสนับสนุนกิจการของพระพุทธศาสนา และมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างแท้จริง
ภิกษุณีธัมมนันทา วัตรทรงธรรมกัลยาณี จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า รากของพุทธศาสนาในสังคมไทยยังไม่หยั่งลึกมากพอ ทำให้พุทธบริษัทสี่ ซึ่งหมายถึง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีองค์ประกอบไม่ครบถ้วน มีเพียงพุทธบริษัทสามเท่านั้น ซึ่งขาดพื้นที่ให้แก่ ‘ภิกษุณี’ ทั้งที่ในความเป็นจริง ‘สตรี’ ก็สามารถบรรลุธรรม เผยแพร่และสืบทอดพุทธศาสนาได้เช่นกัน อีกทั้ง การบวชของภิกษุณีก็ไม่ได้ขัดต่อพระวินัยหรือกฎหมาย แต่กลับไม่มีกฎหมายใดมารองรับ
“ประเทศไทยนั้นถึงจะมีจำนวนประชากรที่นับถือศาสนาพุทธมากที่สุดในโลก แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมัชฌิมาประเทศ เนื่องจากมีเพียงพุทธบริษัทสาม ด้วยเพราะติดขัดเรื่องพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พ.ศ. 2471 ที่ห้ามภิกษุสงฆ์ในประเทศไทยทำการอุปสมบทให้แก่สตรี จึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้พระสงฆ์ไม่สามารถบวชเป็นสิกขมานา หรือภิกษุณีได้ ทั้งที่รัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้ทั้งหญิงและชายปฏิบัติศาสนธรรมตามที่ตนนับถือศรัทธา ฉะนั้นพระบัญชาฯในปี 2471 อาจเรียกได้ว่าเป็นกฎหมายลูก ซึ่งควรปรับแก้ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ”
ภิกษุณีธัมมนันทา กล่าวว่า ต้องการให้มีการปรับแก้กฎหมาย เพื่อรองรับ ‘ภิกษุณี’ เพราะขณะนี้ กระทั่งจะระบุในบัตรประชาชนว่าตนเป็นภิกษุณีก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งที่การเป็นภิกษุณีไม่ได้ผิดกฎหมายแต่อย่างใด
ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนมีส่วนร่วมป้องกันการทุจริตและตรวจสอบการดำเนินการของรัฐ วุฒิสภา กล่าวว่า ภิกษุณี อาจไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทย จึงทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติเพิกเฉย ไม่ได้ให้ความสำคัญและเอาใจใส่กับเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนอาจทำให้หลายฝ่ายนำไปแอบอ้างได้
“การเสนอร่างแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ เพื่อต้องการให้การเผยแพร่พระธรรมของภิกษุณีเป็นไปโดยสะดวก ประกอบกับเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ แต่การที่จะเสนอให้ภิกษุณี เป็นหนึ่งในคณะสงฆ์ไทยนั้นเป็นไปได้ยาก จึงมีแนวทางให้จัดตั้งเป็นคณะสงฆ์อื่น เช่นเดียวกับ คณะสงฆ์อนัมนิกาย และบรรพชิตจีนนิกาย ซึ่งแนวคิดจัดตั้งคณะภิกษุณีสงฆ์ศรีลังกาวงศ์ นับเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง เพื่อลดการกระทบกระทั่งหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับมหาเถรสมาคมอีกด้วย”
ส่วนดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการเกิดขึ้นของภิกษุณีนั้นเป็นหนทางในการไขว่คว้าหาความรู้เพื่อบรรลุธรรม รวมทั้งยังเป็นการเผยแพร่พุทธศาสนา จึงไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเสียหายแต่อย่างใด การปิดกั้นภิกษุณี ด้วยพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ ปี พ.ศ. 2471 จึงไม่น่าที่จะเกิดขึ้น เพราะกฎหมาย ประกาศหรือคำสั่งใดที่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ยังถือว่าไม่มีสภาพบังคับ ฉะนั้น ประกาศหรือคำสั่งที่ขัดต่อหลักพุทธธรรมก็ไม่ควรมีสภาพบังคับเช่นกัน
ดร.รัชดา ธนาดิเรก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายนั้นมีความเป็นไปได้ แต่กฎหมายที่แก้ไขต้องได้รับการยอมรับจากภาคประชาชนและสังคมด้วย มิเช่นนั้น การเสนอร่างกฎหมายก็จะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากต้องยอมรับว่า นักการเมืองส่วนใหญ่คำนึงถึงประชาชนซึ่งเป็นฐานคะแนนเสียงอยู่มาก
“การออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และสังคมยอมรับ โดยไม่เกิดข้อขัดแย้ง นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ฉะนั้น การสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา รวมทั้งการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องของภิกษุณี จะช่วยให้สังคมเห็นความงดงามของภิกษุณี ซึ่งเป็นหนึ่งในพุทธบริษัทมากขึ้น”