- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ตำรวจ อัยการ ศาล ติดโครงสร้างอำนาจแบบ "รวมศูนย์"
ตำรวจ อัยการ ศาล ติดโครงสร้างอำนาจแบบ "รวมศูนย์"
ศ.แสวง วิพากษ์ 3 องค์กรกระบวนยุติธรรมยังมีโครงสร้างรวมศูนย์ เสนอกรอบปฏิรูประบบงานตำรวจแยกงานสอบสวนออกมา เติมอาสาสมัคร -ตำรวจหญิงช่วยงาน ห้ามอัยการนั่งเก้าอี้ที่ปรึกษากม.รัฐวิสาหกิจ และเสนอให้มีกระบวนการสืบพยานเพิ่มได้ในศาล
วันที่ 25 ธันวาคม ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดบรรยายหลักสูตรอบรมการสื่อสารมวลชนระดับต้น (กสต.) รุ่นที่ 2 เรื่อง “กระบวนการยุติธรรมทางอาญา” โดย ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธานอนุกรรมการวิเคราะห์กรอบโครงสร้างรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม กล่าวว่า องค์กรที่มีบทบาทต่อกระบวนการยุติธรรมทั้ง ตำรวจ อัยการ และศาล ล้วนแต่ยังมีปัญหา หลักๆ คือโครงสร้างยังมีลักษณะการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง
เริ่มต้นที่ระบบงานตำรวจ ศ.แสวง กล่าวว่า ขาดการพัฒนาศักยภาพที่ตอบสนองต่อความต่อการให้บริการและการให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน ด้านเครื่องมือเครื่องใช้ไม่มีประสิทธิภาพ เงินเดือน ค่าตอบแทนสิทธิประโยชน์ที่ตำรวจได้รับก็ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ
ศ.แสวง กล่าวว่า ควรแยกงานสอบสวนออกจากงานของตำรวจ โดยกำหนดประเภทคดีอาญาแผ่นดินให้อยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวน ส่วนคดีนอกความรับผิดชอบ ทั้งลหุโทษหรือคดีที่ยอมความได้ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ปรับระบบโครงสร้างยึดโยงกับส่วนกลาง รวมทั้งให้มีคณะกรรมการบริหารตำรวจระดับจังหวัดที่ประกอบด้วย อัยการ ตำรวจและหน่วยงานคุมประพฤติ เพื่อกระจายอำนาจไปสู่ระดับจังหวัด
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวถึงการเพิ่มบุคลากรในระบบงานตำรวจว่า ควรจัดให้มีอาสาสมัครที่มาจากคนในท้องที่ เพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานของตำรวจ รวมทั้งเพิ่มตำรวจและพนักงานสอบสวนหญิงทำหน้าที่เกี่ยวกับคดี เพศ เด็ก เยาวชน การค้ามนุษย์ ความรุนแรง, จัดสถาบันทางวิชาการของตำรวจให้อยู่ในกำกับของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ในลักษณะรวมหน่วยทางการศึกษาของตำรวจทั้งหมดเป็นหน่วยเดียว อีกทั้งยกระดับหลักสูตรการเรียนการสอนให้ตำรวจมีความรู้ในการบังคับใช้กฎหมายและทันต่อสถานการณ์
“สำหรับงบประมาณในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เพียงพอต้องไม่กำหนดรวมไว้ในเงินเพิ่มตำแหน่งหรืองาน แต่ให้แยกออกมาต่างหากเป็นกองทุนประเภทต่างๆ”
ส่วนการทำหน้าที่ของอัยการ ศ.แสวง กล่าวว่า ยังไม่อำนวยความยุติธรรมให้ชาวบ้าน การรวมศูนย์อำนาจส่งผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ข้อเสนอสำคัญคือต้องห้ามไม่ให้อัยการไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ หรือเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐ รวมทั้งให้คณะกรรมการอัยการมีโครงสร้างแนวทางเดียวกับตุลาการยุติธรรม ในส่วนอำนาจหน้าที่ที่อัยการควรมีเพิ่มเติม คือ ให้อัยการมีหน้าที่สอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนเพื่อให้คำแนะนำและร่วมตรวจสอบพยานตั้งแต่ชั้นเริ่มต้นสอบสวนในคดีอุกฉกรรจ์ เพื่อสร้างความยุติธรรมในเชิงลึก
ส่วนในคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประธานอนุกรรมการวิเคราะห์กรอบโครงสร้างรัฐธรรมนูญฯ กล่าวว่า ควรมีองค์กรทำหน้าที่เฉพาะเป็นคณะกรรมการเฉพาะกิจสำหรับแต่ละคดีเรียกว่า “คณะกรรมการอัยการพิเศษ”
ศ.แสวง กล่าวถึงองค์กรศาล ปัญหาที่ถูกวิพากษ์อย่างหนัก คือ หลักการพิจารณาคดีที่ดำเนินการตามกฎหมาย แต่ยังไม่คำนึงถึงความยุติธรรมและความถูกต้องชอบธรรม ส่งผลต่อความเชื่อมั่น ศรัทธา ข้อเสนอใหญ่จึงอยู่ในโจทย์ว่า จะทำอย่างไรให้การพิจารณาคดีของศาลไม่เพียงดำเนินตามแผ่นกระดาษ แต่มีกระบวนการสืบพยานเพิ่มได้ในศาลอุทธรณ์ หากมีข้อสงสัยในข้อเท็จจริงและให้ศาลฎีการับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายหรือเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม