- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ทีดีอาร์ไอผุด“โรดแมปสวัสดิการสังคม” ช่วยคนถ้วนหน้าตั้งแต่เกิดจนตาย
ทีดีอาร์ไอผุด“โรดแมปสวัสดิการสังคม” ช่วยคนถ้วนหน้าตั้งแต่เกิดจนตาย
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ถึงโรดแมปการจัดสวัสดิการสังคมที่ควรจะเป็นว่า แผนยุทธศาสตร์การจัดสวัสดิการ มีหลักคิด คือ 1.คำนึงถึงการจัดให้บริการสวัสดิการสังคมบน 4 ฐานคิด ได้แก่ สวัสดิการที่ทุนสวัสดิการ 50% ต้องมาจากภาษีที่รัฐจัดเก็บหรือรัฐต้องจ่าย 50% ,สวัสดิการในลักษณะประกันสังคมที่ทุกคนต้องร่วมกันจ่าย ,เอกชนเป็นผู้จ่าย ซึ่งต่างคนต่างจ่ายค่าสวัสดิการเองในลักษณะของการออมเพื่อสวัสดิการ, สวัสดิการที่เกิดจากจิตอาสา และ2.สวัสดิการทั้งหมดนี้ต้องครอบคลุมทุกช่วงอายุคนด้วยตั้งแต่เกิดจนตาย วัยเด็ก วัยรุ่น คนทำงาน วัยชรา เกษียณอายุงาน จากนั้นก็พิจารณาจากทั้งสองปัจจัยว่ามีสวัสดิการใดบ้างที่ต้องจัดทำก่อน มีสวัสดิการใดบ้างที่ทำแล้วและต้องเพิ่มเติมอะไรอีก และนำมาพิจารณาคู่กับจำนวนเงินและจำนวนคนที่ต้องได้รับสวัสดิการด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จึงเป็นแนวคิดหลักของโรดแมปนี้
ดร.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า การคิดจัดสวัสดิการแบบนี้จะทำให้รู้ว่า ขณะนี้มีสวัสดิการใดบ้างแล้วที่ครอบคลุมถ้วนหน้าหรือเฉพาะกลุ่มกับใครบ้าง และต้องเพิ่มเติมส่วนใดบ้างให้ครอบคลุมทุกส่วน แต่บางเรื่องก็อาจถ้วนหน้าไม่ได้ เนื่องจากมีราคาที่แพงมาก เช่น กลุ่มคนพิการก็อาจต้องเป็นสวัสดิการเฉพาะส่วน เป็นต้น สวัสดิการก็จะถูกจัดตามลำดับความสำคัญจาก 2 หลักคิดในโรดแมปนี้
“ไทยเป็นประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดประเทศหนึ่ง ในกลุ่มประเทศอาเซียนในเรื่องของรัฐสวัสดิการ ที่จำเป็นต้องมีตั้งแต่จากครรภ์มารดาจนกระทั่งเสียชีวิต สิ่งที่ประเทศดำเนินการในเวลานี้อย่างชัดเจน คือการศึกษาฟรีจาก 12 ปีเป็น 15 ปี ซึ่งในอนาคตต้องทำให้ฟรีจริงและมีคุณภาพ” ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าว และว่า การรักษาพยาบาลก็มีหลักประกันสังคม หลักประกันสุขภาพและหลักประกันของข้าราชการแม้ยังมีปัญหาความแตกต่างที่ไม่เท่าเทียมบ้าง เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญ คือ ต้องการจัดการสร้างระบบสวัสดิการอย่างครอบคลุมคนทุกกลุ่ม พอค่อยๆคิดไปทีละเรื่องว่าสิ่งใดจำเป็นต้องทำถ้วนหน้าหรือทำเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย ศึกษาหาทางเลือกมีข้อดีข้อเสียอย่างไร จะใช้ต้นทุน หรือที่มาของเงินเหล่านั้นจากแหล่งใดในการบริหารจัดการ จากนั้นให้ฝ่ายการเมืองเป็นผู้ตัดสินใจ สุดท้ายก็จะได้ภาพโรดแมปสู่รัฐสวัสดิการอย่างสมบูรณ์
สำหรับแนวทางการสรรหางบประมาณเพื่อนำมาจัดระบบสวัสดิการที่ถ้วนหน้านั้น ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ต้องศึกษาว่าจะหาเงินมาจากที่ไหนได้บ้าง เช่น 1.จากการปฏิรูประบบภาษีโดยขยายฐานภาษีให้ได้เพื่อให้มีเงินมากขึ้น เนื่องจากคนไทยเสียภาษีเงินได้เพียง 4-5 ล้านคน ภาษีเงินได้นิติบุคคลในกิจการเสียเพียง 30 % ของกิจการทั้งหมด ซึ่งคิดว่าไม่จำเป็นที่ต้องขึ้นภาษีเพียงแค่ขยายฐานภาษีให้ได้ หากเงินไม่พอก็ต้องไปปรับอัตราภาษีส่วนใดก็ต้องมีโรดแม้ปที่ต้องคิดหาต่อไป 2.ทำให้เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโต ในอัตราอย่างน้อย ประมาณ 5 % ต่อปี เพราะหากเศรษฐกิจไทยเติบโต รัฐบาลก็ไม่ต้องขึ้นภาษี เพราะว่าจะเก็บภาษีได้มาก ให้ประชาชนมีส่วนร่วมและมีทางเลือก
ดร.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้แนวทางแผนยุทธศาสตร์การจัดการสร้างระบบสวัสดิการมีนโยบายออกมาแล้ว เพียงต้องทำรายละเอียดให้เกิดต่อไปเพื่อครอบคลุมคนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยต้องเน้นช่วยเหลือคนที่อยู่นอกระบบให้ได้ ด้วย เพราะคนที่อยู่ในระบบที่มีระบบประกันสังคมครอบคลุมแค่ประมาณ 9 ล้านคน ในระบบข้าราชการก็มีระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) บำเหน็จบำนาญคนที่ทำงานภาคเอกชน ขณะที่คนนอกระบบยังไม่มีซึ่งต้องพยายามทำให้คนที่อยู่นอกระบบ อาจจะเริ่มจากการออมเพื่อสวัสดิการ ส่วนเรื่องของการจะได้รับเงินบำนาญนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันต่อไปอีก และระบบสวัสดิการในอนาคตของไทยต้องรองรับสังคมแห่งผู้สูงอายุด้วย ต้องคำนึงถึงคนชราที่จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนชราที่อยู่ในชนบทใครจะดูแล
"สวัสดิการในส่วนอื่นๆ ที่ต้องให้ความสำคัญและศึกษาเพิ่มเติม เช่น วัยทำงานนั้นรัฐต้องมีการจัดหางานไว้รองรับหลังจบการศึกษา ,คนตกงานรัฐก็ต้องจัดอบรมเพิ่มเติมเพื่อประกอบอาชีพ ส่วนกลุ่มคนพิการที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือวัยเด็กที่เป็นลูกคนจนซึ่งพ่อแม่ต้องทำงานจนไม่มีเวลาเลี้ยงดู รัฐก็ต้องคำนึงถึงการดูแลในส่วนนี้อีกเช่นกัน"
ส่วนแผนยุทธศาสตร์นี้จะสำเร็จในการเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชนได้นั้น ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ต้องเริ่มจากการคิดจัดลำดับความสำคัญ ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง และสามารถช่วยคนได้เพียงใด จะทำแบบทุกกลุ่มถ้วนหน้าหรือเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย และจะต้องใช้เงินเท่าใด ทั้งหมดต้องให้เห็นแนวทางชัดเจน ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ จะทำเพื่อช่วยคนยากจน คนที่อยู่นอกระบบการคุ้มครอง คนที่อยู่นอกแรงงานนอกระบบ ก็ต้องทำโดยไม่ก่อให้เกิดวิกฤติต่อการคลัง ไม่ก่อหนี้ ไม่ใช่ไปยืมเงินมาใช้จ่าย หรือไปเบียดเงินที่ไปสร้างถนนหนทาง หรือสาธารณูปโภค