- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- 'วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ' นายกฯโปรยยาหอม ยันเกษตรกรจะเป็นอาชีพที่มีหลักประกันมั่นคง
'วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ' นายกฯโปรยยาหอม ยันเกษตรกรจะเป็นอาชีพที่มีหลักประกันมั่นคง
อภิสิทธิ์ ยืนยันเนื่องในวันที่ 5 มิถุนายน วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ จะสนับสนุนให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เผยกำลังเร่งผลักดัน 'กองทุนเงินออมแห่งชาติ' ช่วยเกษตรกรชาวนาที่อยู่นอกระบบ ได้มีสวัสดิการที่เป็นรูปธรรม
วันนี้ (4 มิ.ย.) เมื่อเวลา 11.10 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายประเสริฐ โกศัลวิตร อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะผู้นำชาวนาและเยาวชนชาวนาจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ จำนวน 200 คน ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ เพื่อเป็นการรำลึกถึงความสำคัญของข้าวและเชิดชูเกียรติชาวนาทุกคน ตลอดจนรับฟังนโยบายด้านข้าวซึ่งเป็นพืชหลักของชาติจากนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ
รมว.เกษตรฯ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ เนื่องจากเป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชการที่ 8) ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน) ไปทรงทอดพระเนตรกิจการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน ในโอกาสนั้น ทั้งสองพระองค์ได้ทรงหว่านข้าว ณ แปลงนา ภายในมหาวิทยาลัยซึ่งชาวเกษตรถือว่าวันดังกล่าว เป็นวันที่เป็นสิริมงคลอย่างยิ่งแก่กิจการด้านข้าวของประเทศ นอกจากนี้การจัดงานดังกล่าวยังเพื่อให้ประชาชนได้รำลึกถึงความสำคญของข้าว ที่คนไทยใช้เป็นพืชอาหารหลัก รวมทั้งเพื่อเชิดชูเกียรติชาวนาที่ได้เสียสละทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจปลูกข้าวเพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า ได้มีอาหารบริโภคอย่างอุดมสมบูรณ์ตลอดมา และมุ่งหวังที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับเยาวชนชาวนาไทยซึ่งจะเป็นผู้สืบทอดอาชีพการทำนาในอนาคต
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้มอบเข็มเชิดชูเกียรติพร้อมองค์พระแม่โพสพให้แก่ชาวนาดีเด่นและองค์กรชาวนาที่มีผลปฏิบัติงานดีเด่นระดับภาคและระดับประเทศ จำนวน 24 ราย เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้นำชาวนา และเยาวชนชาวนาต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ข้าวเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด มาระยะหลังมีการพัฒนาบทบาทของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น จึงทำให้มีความห่วงใยต่ออนาคตของภาคเกษตรและอนาคตของชาวนา รวมถึงข้าวจะเป็นอย่างไร โดยตนยอมรับว่าขณะที่เกษตรกรชาวนาเป็นผู้เสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจในการปลูกข้าวให้คนไทยมีข้าวกินและให้ประเทศไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งมาเป็นเวลา 20 ปี ขณะที่รายได้ของเกษตรกรและชาวนายังถือว่ามีรายได้น้อยและมีความไม่แน่นอนและไม่มั่นคง ซึ่งรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยพยายามแก้ไขปัญหาของเกษตรกรและราคาข้าวมาโดยตลอด อาจจะประสบความสำเร็จบางส่วน ตรงนี้ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของข้าวและการเกษตร
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแสดงความห่วงใยหลายครั้งในเรื่องของอนาคตการเกษตรและอนาคตของข้าวไทย อย่างไรก็ตามประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีความสามารถในการผลิตอาหารเกินความต้องการของคนในประเทศของตนเองและยังสามารถส่งออกได้อย่างมั่นคงด้วย ฉะนั้นจากการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาผลกระทบและการแก้ไขวิกฤตในเรื่องของอาหารและพลังงาน รัฐบาลมีความมั่นใจว่าภาคการเกษตรของประเทศจะกลับมามีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น”
ส่วนมาตรการและนโยบายที่จะทำให้เกษตรกรชาวนามองเห็นอนาคตที่มั่นคงนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามดำเนินการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเผยแพร่ หรือโครงการตามแนวพระราชดำริอีกหลายโครงการ สามารถที่จะทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งที่อาจจะไม่ต้องการเข้ามาอยู่ในระบบเศรษฐกิจหลักสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพโดยมีอาหาร และมีความพอเพียงในการที่จะดำรงชีวิต ตลอดจนมีรายได้ที่ดีตามสมควรและสามารถที่จะอยู่กับชุมชนและธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร โดยผ่านนโยบายการดูแลเรื่องตลาดของข้าว และสินค้าเกษตร ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวแทนการรับจำนำข้าวที่ดำเนินมานานหลายปี ซึ่งที่ได้ดำเนินการมาขณะนี้ก็อยู่ในรอบที่สอง และถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลมีนโยบายและมาตรการที่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างทั่วถึงและเป็นการช่วยเหลือโดยเงินงบประมาณและภาษีอากรของประชาชนถึงมือเกษตรกรโดยตรง
“เรื่องของหลักเกณฑ์ ราคา ปริมาณ ที่รัฐบาลกำหนดก็ยังจะต้องมีการปรับเปลี่ยนในอนาคตเพื่อให้ตรงกับความต้องการของในทุกพื้นที่หรือทุกคนต่อไป ดังนั้นตรงนี้จึงเป็นแนวทางที่ชัดเจนที่รัฐบาลต้องการที่จะดำเนินการไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาเดิม ๆ แต่ยังเป็นแนวทางของการวางหลักประกันในเชิงสวัสดิการสำหรับเกษตรกรชาวนาด้วย”
กรณีที่เกษตรกรชาวนามีข้อเรียกร้องต้องการที่จะมีกองทุนสำหรับชาวนาในเรื่องของการออมนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลอยู่ในระหว่างการพิจารณา แต่อย่างไรก็ตามในปีนี้และปีต่อไปนั้น รัฐบาลกำลังผลักดันโครงการกองทุนเงินออมแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในระบบราชการและไม่มีประกันสังคมสามารถที่จะเข้ามาออมและรัฐบาลให้เงินสมทบเป็นกองทุนที่จะเก็บไว้ในยามชราเพื่อจะได้มีรายได้ที่มาจากเงินออมและเงินสมทบที่รัฐบาลใส่เข้าไปให้ตลอดระยะในช่วงของชีวิตการทำงาน ตรงนี้จะเป็นอีกก้าวหนึ่งที่จะทำให้เกษตรกรชาวนา เริ่มมีสวัสดิการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนและครอบคลุมในทุกด้านมากยิ่งขึ้น
“เมื่อเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จก็จะมีการดำเนินการในเรื่องของการมีหลักประกันในยามชรา การประกันภัยเรื่องภัยธรรมชาติ ในอนาคตรัฐบาลยังจะมีการปรับปรุงพันธุ์ข้าว การสร้างโอกาสเพิ่มขึ้นในการแปรรูปข้าวต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า คือความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการจะส่งสัญญาณไปยังพี่น้องประชาชนในชนบทว่า การประกอบอาชีพทางการเกษตร การเป็นชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนนั้น กำลังจะเป็นอาชีพที่มีหลักประกัน มีความมั่นคง มีความยั่งยืนมากขึ้น" นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า ทั้งหมดนี้จะเป็นแนวทางสำคัญที่ไม่เพียงแต่เป็นนโยบายที่มาตอบสนองแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวนาเท่านั้น แต่ยังถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะพลิกฟื้นภาคการเกษตรในภาพรวมให้กลับมามีความสำคัญในกระบวนการของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยต่อไป