- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ดร.สมชัย ชงรัฐนำรายได้ภาษีหลังปฏิรูป นำมาจัดสวัสดิการถ้วนหน้า
ดร.สมชัย ชงรัฐนำรายได้ภาษีหลังปฏิรูป นำมาจัดสวัสดิการถ้วนหน้า
เมื่อเร็วๆนี้ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) นำเสนอ เรื่อง “การปฏิรูประบบภาษี” ในเวทีประชุมปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะของคนไทย ครั้งที่ 39 ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ถนนวิภาวดี-รังสิต กรุงเทพมหานคร จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิที่ทำงานในนาม สถาบันเครือข่ายทางปัญญา ร่วมรับฟัง
ดร.สมชัย กล่าวถึงโครงสร้างภาษีของไทยทำให้ภาษีเก็บได้น้อย เพราะไปพึ่งพิงภาษีทางอ้อมมากกว่าภาษีทางตรง เก็บภาษีนิติบุคคลมากกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และสัดส่วนภาษีต่อรายได้ประชาชาติของไทยยังค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียด้วยกัน อีกทั้งการเก็บภาษีที่ต่ำกว่าศักยภาพ ประกอบกับโครงสร้างภาษีที่ยังไม่เป็นธรรม ทำให้ประเทศไทยต้องปฏิรูประบบภาษีอย่างจริงจัง
“การจัดสวัสดิการถ้วนหน้าในปี 2560 จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเพิ่มการจัดเก็บภาษีให้เหมาะสม และหากจะทำให้ระบบภาษีเกิดความเป็นธรรมจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีหลักความเสมอภาคทางภาษี ให้คนรวยจ่ายมาก คนจนจ่ายน้อย และยกเลิกแนวคิดจัดเก็บภาษีแตกต่างตามอาชีพ ซึ่งควรเก็บภาษีตามความสามารถในการจ่าย เช่น เกษตรกร นักธุรกิจ พ่อค้า ซึ่งในแง่ความคิดใช้ได้เมื่อหลายปีก่อน แต่ในปัจจุบันโลกเปลี่ยนไป มีแรงงานนอกระบบ จำเป็นต้องเปลี่ยนจัดเก็บภาษีตามความเป็นจริง ไม่ว่าประกอบอาชีพอะไร”
ผอ.วิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ ทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงข้อเสนอปฏิรูปโครงสร้างภาษีว่า คนไทยยังเสียภาษีไม่เสมอภาค ดังนั้นควรเริ่มจากการขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยยกเลิกแนวคิดจัดเก็บภาษีแตกต่างตามอาชีพ แต่เก็บภาษีตามความสามารถในการจ่าย ยกเครื่องค่าลดหย่อนและยกเว้นต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องปรับอัตราภาษี รวมทั้ง กรมสรรพากรต้องเพิ่มบุคลากรด้านไอที เพื่อเข้ามาตรวจสอบความถูกต้องของรายได้ และสุดท้ายให้คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ยื่นแบบแสดงรายการภาษีทั้งหมด โดยนำไปผูกติดกับเรื่องสวัสดิการ เช่น หากยื่นมาแล้วเป็นบุคคลที่ไม่มีรายได้ หรือเป็นคนจน ก็จะได้รับสวัสดิการ ซึ่งจะกลายเป็นฐานข้อมูลให้กับรัฐได้เป็นอย่างดี
“การปฏิรูปภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยเก็บสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ขณะเดียวกันรัฐบาลกลับยอมขาดรายได้ จากสิทธิประโยชน์จาก BOI ปีละกว่าแสนล้านบาท อีกทั้งผลประโยชน์ก็ไปตกกับบริษัทต่างประเทศ มากกว่าบริษัทไทย ซึ่งนักลงทุนเริ่มหันมามองเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นการยกเลิกให้สิทธิประโยชน์ BOI ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป”
ดร.สมชัย กล่าวถึงภาษีทรัพย์สิน ว่า ปัจจุบันเก็บจากฐานทรัพย์สินไม่มาก เช่น ภาษีรถยนต์ ก็ไม่ได้เก็บตามมูลค่า, ภาษีบำรุงท้องที่ เก็บตามมูลค่าและฐานมูลค่าที่ล้าสมัย และอัตราต่ำมาก ขณะที่ภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน ก็เก็บเฉพาะเมื่อมีการขาย ดังนั้น ประเทศไทยยังไม่มีภาษีที่เก็บจากฐานทรัพย์สินที่เก็บเป็นเรื่องเป็นราว จึงเป็นที่มาว่า พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ควรเร่งผลักดันออกมา ส่วนภาษีมรดกมีการพูดถึงกันมาก แต่ต่อให้เก็บก็ไม่ใช่รายได้หลัก เนื่องจากภาษีตัวนี้สามารถเล่นแร่แปรธาตุง่าย เป็นเรื่องฟังดูดี อาจจะริเริ่มได้ แต่จริงๆ มีผลลดความเหลื่อมล้ำน้อยกว่าที่คาดหวัง
สุดท้าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ดร.สมชัย กล่าวว่า ที่มีเสน่ห์อยู่ที่จัดเก็บง่ายกว่าภาษีประเภทอื่นๆ แต่ยังมีลักษณะเป็นภาษีที่ถดถอย ทำให้คนรวยยังเสียภาษีน้อยกว่าคนจน การเก็บในอัตรา 7 % ที่ไทยจัดเก็บต่ำกว่าประเทศส่วนใหญ่ อาจพิจารณาเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม หากจำเป็นต้องหารายได้เพิ่มอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งการจัดเก็บเป็น 2 อัตรา สินค้าจำเป็นเก็บต่ำ และสินค้าไม่จำเป็นเก็บสูง เป็นต้น
“การใช้นโยบายการคลัง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของโอกาส ไม่ใช่ดูเรื่องภาษีอย่างเดียว เพราะมีความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินชัดเจนกว่ารายได้มาก แต่ที่คนไม่ค่อยสนใจ คือ ส่วนแบ่งการออมในแต่ละชั้นรายได้ (5 กลุ่มชั้นรายได้) ในปี 2552 พบว่า การออมยิ่งแตกต่างกันมาก ทำให้เห็นว่า เงินออมเหลื่อมล้ำมากกว่ารายได้ โดยคนที่มีเงินออม 20% บน มีเงินออมคิดเป็น 80 % ของการออมทั้งประเทศ การออมแสดงความมั่งคั่ง หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ โอกาสความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยลดลง จะยากมาก”
ดร.สมชัย กล่าวอีกว่า เริ่มมีความเข้าใจผิด หนี้นอกระบบ เป็นปัญหาที่ใหญ่สำคัญของประเทศ ทุกวันนี้ไม่ใช่ เพราะสัดส่วนลดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนการเข้าถึงบริการภาครัฐ โดยรวมๆ คนจนเข้าถึงบริการของรัฐมากกว่าคนรวย แต่ก็ยังไม่พอต้องมากกว่านี้ ทั้งการศึกษา การดูแลคนสูงอายุ ฯลฯ ทำอย่างไรให้มีสวัสดิการทางสังคมที่เข้าถึงคนจนได้จริง เช่น สร้างฐานข้อมูลคนจน
ดร.สมชัย กล่าวด้วยว่า มีตัวเลขเบื้องต้นเปรียบเทียบรายได้ภาษีหลังปฏิรูป และรายจ่ายสวัสดิการถ้วนหน้า หากมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 – 10% รัฐจะมีรายได้เพิ่ม 200,000 ล้านบาท,ขยายฐายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารัฐจะมีรายได้ 50,000-100,000 ล้านบาท ,ยกเลิก BOI เงินกลับเข้าสู่รัฐ 10,000 ล้านบาท,ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 20 % หายไป -111,867 ล้านบาท และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง(สุทธิ) ทำให้รัฐมีรายได้ 30,000-50,000 ล้านบาท รวม (สุทธิ) รัฐมีรายได้ 280,000-350,000 ล้านบาท เชื่อว่า จะเพียงพอกับรายจ่ายส่วนเพิ่มเพื่อนำมาจัดสวัสดิการถ้วนหน้า 230,000-350,000 ล้านบาท แต่ทั้งหมดนี้รัฐต้องทำทุกเรื่องตามที่ว่ามา