- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เริ่มต้นคิดทำสวัสดิการ ไพบูลย์เสนอรัฐแบ่งปชก.ออกเป็น 3 กลุ่ม
เริ่มต้นคิดทำสวัสดิการ ไพบูลย์เสนอรัฐแบ่งปชก.ออกเป็น 3 กลุ่ม
เชื่อจะได้ประโยชน์มากกว่า ไปกำหนด 60 ปี เป็นผู้สูงวัย แล้วใช้ประชานิยมไล่แจก 500 บาท กก.คสป.ย้ำชัดต้องปล่อยชุมชนท้องถิ่นดูแลกันเอง เร่งกระจายอำนาจให้อปท.จัดทำสวัสดิการ แทนรัฐบาลกลาง ดูแลคนในชุมชนไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก
วานนี้ (20 ก.ย.) คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส จัดงานสัมมนาระดมความคิดเห็น เรื่อง มุมมองของผู้สูงอายุกับการปฏิรูปประเทศไทย ณ ห้องรับรอง 1-2 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2 โดยนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประธานกรรมการ มูลนิธิหัวใจอาสา และกรรมการคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) ปาฐกถาพิเศษ ตอนหนึ่งถึงความจำเป็นที่ประเทศต้องมีการปฏิรูป สืบเนื่องมาจากความแตกแยก แตกร้าว โกรธเกลียด ชิงชังของคนในประเทศ ทำให้หลายคนมองว่าจะต้องแก้ไขถึงขั้นปฏิรูป แต่การปฏิรูปไม่ใช่การมาตกลงสมานฉันท์ อย่างที่เรียกว่า การปรองดองแล้วก็จบ การปฏิรูปหมายความว่า ต้องขุดลึกลงไปถึงที่มาของความขัดแย้งที่มีหลายชั้น
“หากวิกฤติ คือยอดของภูเขาน้ำแข็ง ข้างใต้มีอีกอย่างน้อย 2-3 ชั้น ชั้นถัดลงไปเป็นเรื่องของโครงสร้าง และระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง ราชการ การศึกษา การรวมศูนย์อำนาจ ระบบอุปถัมภ์นิยมและระบบที่เอื้อต่อการทุจริตคอรัปชั่น ระบบโครงสร้างเหล่านี้ได้เสื่อมถอย อ่อนกำลัง ขาดคุณภาพมาเป็นเวลาเนิ่นนาน นี่คือระดับที่จำเป็นต้องปฏิรูป”
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ในคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป และกรรมการปฏิรูป จึงได้พูดถึงการปฏิรูปว่า คือการปฏิรูปโครงสร้างไม่ใช่การปรองดอง ไม่ได้แปลว่าไม่ควรมีการปรองดอง แต่ควรดำเนินการโดยคนอีกชุดหนึ่ง ระหว่างคู่กรณีที่มีหลายฝ่าย ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ ปรองดองกับการปฏิรูป และปฏิรูปกับปรองดอง
“ปรองดองคือการเลิกที่จะทะเลาะ ขัดแย้ง โกรธเกลียดชิงชัง ต่อสู้ ทำร้ายทำลายซึ่งกันและกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย มีหลายคนพยายาม ทั้งพยายามจริงและไม่ค่อยจริง แต่ถือว่า มีความพยายาม สำหรับสังคมไทยแล้วควรต้องมีความพยายามต่อไป การปรองดองเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ ซึ่งหลักใหญ่ๆ ไม่พอ เพราะเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นทั้งการกระทำและเรื่องของจิตใจ ที่ต้องทำให้ครบถ้วนถึงจะได้ความปรองดองและสมานฉันท์ที่แท้จริง จนประสบความสำเร็จ”
ส่วนบทบาทผู้สูงอายุกับการปฏิรูปประเทศนั้น กรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า แม้จะไม่มีคณะอนุกรรมการผู้สูงอายุเพื่อการปฏิรูป ในกรรมการสมัชชาฯ แต่หากใครสนใจรวมตัวเป็นคณะกรรมการก็ทำได้ หรือทำอย่างอิสระเพื่อร่วมกันปฏิรูปประเทศก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการระดมความคิดเห็น เรื่องสำคัญที่น่าจะปฏิรูป และเกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยและผู้สูงอายุ
“จริงๆ การปฏิรูป ต้องทำหลายเรื่อง แต่ผมให้ความสำคัญ 5 ข้อใหญ่ 1.แก้ไขป้องกันการทุจริต คอรัปชั่น 2. องค์กรชุมชน ชุมชนท้องถิ่น ต้องได้รับอำนาจจัดการตนเอง 3. การปฏิรูป เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ มีสัมมาชีพ มีการทำมาหากินที่พอเพียง มีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้ เลี้ยงตัวเองได้ นั่นคือประเทศพอเพียง 4. มีระบบสวัสดิการชุมชนที่ดี และ 5 การปฏิรูปนโยบายและแนวคิดเกี่ยวกับคำว่า ผู้สูงอายุและประชากร เพราะปัญหาในโลกนี้เกิดขึ้นมีสาเหตุที่ยิ่งใหญ่มากแต่คนพูดกันน้อย คือปัญหาประชากรล้นโลก”
นายไพบูลย์ กล่าวถึงการแบ่งประชากรในประเทศ ว่าควรแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มคนที่ให้แก่สังคมมากกว่ารับจากสังคม นี่คือคนวัยทำงาน มีศักยภาพ มีกิจกรรมที่แข็งขัน ให้แก่สังคมมากกว่า 2.กลุ่มที่ให้กับสังคม และรับจากสังคมใกล้เคียงกัน กลุ่มนี้พึ่งตนเองได้ 3.กลุ่มที่ให้กับสังคมน้อยกว่ารับจากสังคม ซึ่งก็คือ เด็ก ผู้เยาว์ ผู้สูงอายุบางส่วน ผู้ด้อยโอกาส
นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า การปฏิรูปความคิดเรื่องผู้สูงอายุ ควบคู่กับการปฏิรูปนโยบายเรื่องประชากร การกำหนด 60 ปีเป็นช่วงที่บอกเป็นผู้สูงวัยนั้น และรัฐบาลใช้ประชานิยมแจก 500 บาท ไม่คิดว่าได้ประโยชน์ เพราะการคิดเรื่องสวัสดิการสังคม หากแยกประชากรออกเป็น 3 กลุ่ม จะได้ประโยชน์มากกว่า และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดทำสวัสดิการ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ไม่ใช่รัฐบาลกลาง ให้อปท.สำรวจประชากรที่ให้กับสังคมมากกว่ารับกับสังคม มีใครบ้าง เท่าไหร่ มีประชากรที่ให้และรับพอๆ กันเท่าไหร่ มีประชากรที่ให้น้อยกว่ารับจากสังคมเท่าไหร่ เพื่อดูแลคนเหล่านี้ ไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก อปท.และชุมชนท้องถิ่นควรดูแลกันเอง