- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ทีดีอาร์ไอเปิดช่องโหว่กม.กองทุนการออมฯ กีดกันผู้ประกันตน
ทีดีอาร์ไอเปิดช่องโหว่กม.กองทุนการออมฯ กีดกันผู้ประกันตน
ชี้ประเทศไทยมีสวัสดิการถ้วนหน้า 2 ขาแล้ว “ประกันสุขภาพถ้วนหน้า-การศึกษาฟรี 15 ปี” ขาดขาที่ 3 สวัสดิการชราภาพถ้วนหน้าที่สมบูรณ์ รศ.ดร.นิพนธ์ ออกโรงจี้แก้กม.ประกันสังคม ด่วน หวั่นไม่เกิน 30 ปีล้มละลาย รัฐบาลแบกหนี้อาน
วันที่ 21 ตุลาคม 2553 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ วันอาสาสมัครไทย ประจำปี 2553 และการประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 19 เรื่อง "สวัสดิการสังคมไทยในทศวรรษที่สองของศตวรรษที่ 21" และพิธีประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครดีเด่น องค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ เนื่องในโอกาสวันสังคมสงเคราะห์และวันอาสาสมัครไทย ประจำปี 2553 และวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนี ณ ห้อง Rayal Jubilee Ballrom ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี
นางพนิดา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึงผลการประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมครั้งที่ 18 (ปี 2552) ว่า ได้มีข้อสรุปและข้อเสนอแนะจากที่ประชุม ในการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมไทย 5 ด้าน คือ 1. ปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมไทยกับการเป็นสังคมสวัสดิการ 2.ปฏิรูประบบการช่วยเหลือทางสังคม 3.ปฏิรูประบบการประกันทางสังคม 4.ปฏิรูประบบบริการทางสังคม และ 5.ปฏิรูประบบการลงทุนเพื่อสวัสดิการประชาชน
“สาระสำคัญในข้อเสนอทั้ง 5 เรื่อง มีการนำไปประกอบอยู่ในแนวทางที่ประเทศไทยจะเดินไปสู่สวัสดิการถ้วนหน้าในปี 2560 ขณะเดียวกันสาระบางส่วน ไปบรรจุในแผนปฏิบัติการสวัสดิการสังคมเรียบร้อยแล้ว”ปลัด พม. กล่าว และว่า การประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมตั้งเป้าจะมีการประชุมทุกปี เพื่อเป็นการเหลียวหลังแลหน้า ว่าแต่ละปีทำอะไรเข้าเป้า ต้องปรับ หรือคิดใหม่ ขณะที่เรื่องที่ดีจะต้องทำต่อไปให้ประสบความสำเร็จอย่างไร เพื่อวางรากฐานให้กับคนไทย 63 ล้านคน
กรณีที่รัฐประกาศสวัสดิการถ้วนหน้าในปี 2560 นั้น ปลัด พม.กล่าวว่า ประเทศไทยจะไม่พูดถึงรัฐสวัสดิการ แต่เราจะเป็นประเทศที่มีสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งต่อจากนี้จะต้องมีการวางแผนอย่างดี โดยแผนต้องมองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่ยาวไกล อิฐที่วางแต่ละก้าวต้องมีน้ำหนัก ที่สำคัญต้องได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน
จากนั้นมีการอภิปราย เรื่อง "สวัสดิการสังคมไทยในทศวรรษที่สองของศตวรรษที่ 21" โดยรศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และกรรมการสมัชชาปฏิรูป และศาตราจารย์พิเศษจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินรายการโดยนางสาวรัศมี งาทวีสุข
ช่วงแรกรศ.ดร.นิพนธ์ ได้ยกเหตุการณ์กรณีกลุ่มสหภาพแรงงานที่ฝรั่งเศสประท้วงการปฏิรูปกฎหมายบำนาญ ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสต้องการปฏิรูปกฎหมายบำนาญ โดยปรับเปลี่ยนอายุของการเกษียณจาก 60 ปี เป็น 62 ปี รวมทั้งมีการเพิ่มอายุของผู้มีสิทธิ์ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเกษียณ จาก 65 ปี เป็น 66 ปี สาเหตุเนื่องมาจากรัฐบาลฝรั่งเศสมีภาระทางด้านการคลังหนักมาก และขาดดุลทางการคลังเพิ่มขึ้นข้างสูง
ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นที่ฝรั่งเศสจึงเป็นอุทาหรณ์ว่า ในทศวรรษหน้า ประเทศไทยจะสร้างระบบบำนาญชราภาพอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะกฎหมายประกันสังคมของไทยที่กำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 55 ปี นั้นเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง เพราะคนไทยเริ่มมีอายุยืนขึ้น
“ประเทศไทยมีประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีการศึกษาฟรี 15 ปี เรามีสวัสดิการถ้วนหน้า 2 ขาแล้ว แต่ยังไม่มีสวัสดิการชราภาพถ้วนหน้าที่สมบูรณ์ ขาดขาที่ 3 “ รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าว และว่า แรงงานนอกระบบกว่า 26 ล้านคน ก็ยังไม่มีสวัสดิการบำเหน็จบำนาญ ขณะเดียวกันก็มีร่างกฎหมาย 2 ฉบับเกี่ยวกับบำนาญคนชรา คือ ร่างพ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งเป็นของกระทรวงการคลัง และอีกฉบับที่นักวิชาการไปนำเสนอให้กับพรรคเพื่อไทย เพื่อใช้ควบคู่กันนั้น ทั้ง 2 ฉบับอยู่ในสภาฯ แล้ว แต่ก็พบจุดอ่อนที่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว
ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงหลักการสำคัญของระบบสวัสดิการควรมีเสาหลัก 3 เสา เสาแรก คือ กองทุนการออมแห่งชาติ สร้างหลักประกันบำนาญขั้นต่ำที่รัฐช่วยเหลือทุกคน ซึ่งจะทำให้ภาระของรัฐเพิ่มขึ้น เสาที่สอง กองทุนประกันสังคม ได้เงินมาจากเงินสมทบนายจ้างและลูกจ้าง และเสาที่สาม การออมโดยสมัครใจ
“กฎหมายประกันสังคม โดยเฉพาะการประกันชราภาพยังมีปัญหาอาจทำให้กองทุนประกันสังคมล้มละลายในอีก 30 ปี ข้างหน้า ด้วยระบบที่ออกแบบมาให้จ่ายเงินบำนาญตามหลักผลประโยชน์ ดังนั้นเสาที่สอง ต้องมีการแก้ไขกฎหมายประกันสังคม เปลี่ยนหลักเกณฑ์จากการจ่ายเงินบำนาญตามหลักผลประโยชน์ ให้มีการจ่ายบำนาญชราภาพตามเงินสมทบ เพราะหลักเกณฑ์ปัจจุบันจะทำให้ในอนาคตกองทุนนี้กลายเป็นภาระให้รัฐบาล”
กรณีไม่มีการแก้ไขกฎหมายประกันสังคม ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ในพ.ร.บ.การออมแห่งชาติที่อยู่ในสภาฯ ก็ต้องอนุญาตให้แรงงานที่อยู่ในกองทุนประกันสังคม เมื่อตกงาน และออกจากกองทุนประกันสังคมก่อนได้รับบำนาญ หรือายุยังไม่ครบ 55 ปี สามารถมีสิทธิ์สมัครเข้ามาอยู่กองทุนนี้ได้ โดยโอนเงินของตนเองที่อยู่ในกองทุนประกันสังคมเข้ามา แล้วรัฐจ่ายเงินสมทบให้
“แต่ขณะนี้กฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติยังไม่มีตรงนี้ แถมกีดกันแรงงานในระบบประกันสังคม ซึ่งต้องเปิดโอกาสให้คนยากดีมีจนเข้าร่วมได้ เนื่องจากทุกคนมีโอกาสเสี่ยงจน ได้เหมือนๆกัน”
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า แรงงานส่วนใหญ่อยู่นอกระบบ มีรายได้เป็นรายวันจะทำอย่างไรให้บุคคลเหล่านี้เข้าสู่กองทุนบำนาญได้ หลักการสร้างแรงจูงใจ คือ รัฐจ่ายเงินสมทบ และถ้ามีเงินออมขั้นต่ำ เช่น สามารถออมได้เกินปีละ 10,000 บาท รัฐบาลจะให้ดอกเบี้ยเพิ่ม สำหรับเงินออมที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น เชื่อว่าจะทำให้คนจนมีแรงจูงใจอยากจะออมเงินมากขึ้น อีกทั้ง ควรมีกองทุนเพียงกองทุนเดียวเพื่อสร้างอำนาจการต่อรอง และ เปิดโอกาสให้คนทุกสาขาอาชีพเข้าร่วมได้ด้วยเงื่อนไขที่ไม่เหมือนกัน
ขณะที่ศ.พิเศษจรัญ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องขยับจากสังคมสงเคราะห์ สู่สังคมสวัสดิการ และเป้าหมายไปสู่สวัสดิการถ้วนหน้าในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยควรเน้นไปที่ระบบสวัสดิการผู้สูงอายุ ที่ยังขาดอยู่ รวมทั้งสวัสดิการตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาที่รัฐจะต้องดูแลให้สมบูรณ์ที่สุด ทั้งอาหารบำรุงครรภ์มารดา คลอดก็มีนมที่มีคุณภาพเสริมให้ ซึ่งสวัสดิการส่วนนี้ทำให้ประเทศได้คนที่มีศักยภาพ ไม่ตกเป็นภาระในอนาคต
ศ.พิเศษจรัญ กล่าวด้วยว่า การจัดระบบสวัสดิการ ต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ คำนึงถึงความมั่นคง และโอกาสเสี่ยงต่อวิกฤตล้มละลายให้น้อยที่สุด จะจัดระบบอย่างไรให้ป้องกันการทุจริต มีระบบป้องกันรูรั่วได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งต้องพัฒนาปรับระบบสวัสดิการให้สอดคล้องกับสถานะทางเศรษฐกิจสังคม จัดระบบสวัสดิการพื้นฐานให้พร้อมปรับขึ้นปรับลงได้ทุกเมื่อ เมื่อประเทศอยู่ในภาวะขาลง ทั้งนี้ เชื่อว่า ปรัชญาพอเพียง คือหัวใจที่จะเกื้อกูลต่อระบบสวัสดิการในประเทศไทยได้อย่างดีที่สุด