- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- คณะกก.ค่าจ้าง มีมติปรับค่าจ้างปี 54 ในอัตรา 8 - 17 บ.
คณะกก.ค่าจ้าง มีมติปรับค่าจ้างปี 54 ในอัตรา 8 - 17 บ.
ภูเก็ตสูงสุด ส่วนกรุงเทพ-ปริมณฑลเท่ากัน ปรับเป็น 215 บาท รมว.แรงงาน ยันตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำที่จะปรับขึ้นใหม่น่าจะใกล้เคียงกัน และทำให้ผู้ใช้แรงงานรู้สึกดีขึ้น
วันที่ 9 ธันวาคม นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงานในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้าง ชุดที่ 18 ได้แถลงผลการประชุมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2554 ตามที่คณะอนุกรรมการอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดและคณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองเสนอมา โดยที่ประชุมมีกรอบแนวคิดในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2554 โดยได้คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของแรงงานเพื่อให้มีรายได้ที่เพียงพอต่อการครองชีพในชีวิตประจำวัน และมีเหลือพอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายในกิจกรรมทางสังคม เช่น ทำบุญ สันทนาการ บันเทิง และอื่น ๆ
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2554 ทางคณะกรรมการค่าจ้างได้แบ่งข้อมูลการพิจารณาตามหลักเกณฑ์เป็น 3 กลุ่ม ตามลำดับความสำคัญ คือ กลุ่มความจำเป็นในการครองชีพของลูกจ้าง กลุ่มความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และกลุ่มสหภาพเศรษฐกิจและสังคม โดยให้คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของแรงงาน
สำหรับการพิจารณาครั้งนี้ นายสมเกียรติ กล่าวว่า เป็นการใช้ข้อมูลภาวการณ์ครองชีพในช่วงปี 2553 และการสำรวจค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของแรงงานทั่วไปแรกเข้าทำงานในภาคอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ปี 2553 โดยที่สภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ ภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก เมื่อพิจารณาเฉพาะสำหรับอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีการขยายตัวในเกณฑ์ดี ถึงแม้อาจชะลอลงบ้างในช่วงครึ่งปีแรก และอัตราเงินเฟ้อมีการเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้ใช้แรงงานมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าพาหนะและการขนส่ง และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล ถึงแม้รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน ได้แก่ ค่าไฟฟ้า รถเมล์ฟรี การตรึงราคาก๊าซหุงต้ม และการช่วยเหลือค่าชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียน และการควบคุมดูแลราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในส่วนนี้ลดลงในระดังหนึ่ง
ดังนั้น เพื่อรักษาอำนาจซื้อของแรงงานที่เริ่มเข้าทำงานใหม่ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในแต่ละวันอย่างมีคุณภาพ คณะกรรมการค่าจ้าง จึงได้มีมติให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ รายละเอียดดังนี้
- ปรับขึ้นในอัตรา 8 บาท 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพะเยา ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ อุทัยธานี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
- ปรับขึ้นในอัตรา 9 บาท 24 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดน่าน ตาก สุรินทร์ มหาสารคาม นครพนม ชัยภูมิ ลำปาง หนองบัวลำภู เชียงราย บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด ยโสธร สกลนคร ชัยนาท สุพรรณบุรี ตราด ลำพูน สมุทรสงคราม อ่างทอง เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพฯ
- ปรับขึ้นในอัตรา 10 บาท 16 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก แม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น กำแพงเพชร หนองคาย นครนายก เลย สระแก้ว นครราชสีมา นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี และจังหวัดสมุทรสาคร
-ปรับขึ้นในอัตรา 11 บาท 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปัตตานี นราธิวาส อุบลราชธานี สิงห์บุรี เพชรบุรี และระยอง
- ปรับขึ้นในอัตรา 12 บาท 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแพร่ พิจิตร สุโขทัย อุดรธานี ยะลา จันทบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี ระนอง และจังหวัดชลบุรี
- ปรับขึ้นในอัตรา 13 บาท 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร ตรัง ราชบุรี พังงา ฉะเชิงเทรา และจังหวัดปราจีนบุรี
-ปรับขึ้นในอัตรา 14 บาท 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง สตูล และจังหวัดกระบี่
- ปรับขึ้นในอัตรา 15 บาท 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา
- ปรับขึ้นในอัตรา 17 บาท 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต
โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป ซึ่งคณะกรรมการค่าจ้างจะรายงานผลการพิจารณาไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อลงนามในประกาศกระทรวงแรงงาน และส่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา พร้อมทั้งนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และแจ้งอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ให้ลูกจ้าง/นายจ้างทราบต่อไป
ขณะที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำที่จะปรับขึ้นใหม่น่าจะใกล้เคียงกัน และจะทำให้ผู้ใช้แรงงานรู้สึกดีขึ้น ซึ่งปีนี้ได้คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของแรงงานมาพิจารณาด้วย โดยตนจะเข้าไปช่วยดูแลเรื่องประกันสังคมให้ผู้ใช้แรงงานได้สวัสดิการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่จะให้เข้าสู่ระบบประกันสังคม ส่วนข้อกังวลเรื่องราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นรับค่าจ้างแรงงานใหม่ เป็นส่วนที่กระทรวงพาณิชย์จะต้องเข้าไปดูแลควบคุม
นายปัณณพงศ์ อิทธิ์อรรถนนท์ ผู้แทนคณะกรรมการค่าจ้าง ฝ่ายนายจ้าง กล่าวว่า การปรับครั้งนี้เป็นอัตราที่ผู้ประกอบการรับได้ ซึ่งในขั้นตอนต่อไป รัฐบาลต้องควบคุมราคาสินค้า เพื่อให้การปรับค่าจ้าง ได้ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ในส่วนที่ขาดจากที่นายกรัฐมนตรีพูดไว้ 250 บาท รัฐบาลควรมีมาตรการมาเพิ่มเติมให้เต็ม เช่นเดียวกับการขึ้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลสำนักงานประกันสังคม มีลูกจ้างที่จะได้รับการปรับค่าจ้างครั้งนี้ จำนวน 2 ล้านคน เป็นเม็ดเงิน 6,918 ล้านบาท เมื่อรวมกับแรงงานต่างด้าวอีกประมาณ 2 ล้านคนเศษ ซึ่งจะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราใหม่ เป็นเงิน 7,775 ล้านบาท เมื่อรวมแล้วจะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น 14,694 ล้านบาท ทำให้มีจำนวนการบริโภคเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท