- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- หมอชนบทเร่งรัฐผลักดัน พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ
หมอชนบทเร่งรัฐผลักดัน พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ
เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พูดชัดพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขฯ คนไทย 65 ล้าน ได้ประโยชน์ โดยหลักการไม่เพ่งชี้โทษที่ตัวบุคคล เผยพรุ่งนี้เครือข่ายภาคปชช.ตบเท้าเข้ายื่นจม.ต่อแพทยสภาจี้ให้พูดความจริง หยุดโกหก ต่อสาธารณะ
วันนี้ (28 ก.ค.) นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ...... โดยตอบคำถามคำคัดค้าน คำต่อคำ ในงานแถลงข่าว “พูดกันให้ชัดทำไมต้องมีพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. ........”. ณ สำนักงานชั่วคราว มูลนิธิผู้บริโภค ห้างเซ็นจูรี่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพมหานคร
นางสาวสารี กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข อยู่ในระหว่างการถูกเสนอและรอการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวาระที่ 1 ซึ่งไม่ใช่มาจากร่างของกลุ่มเอ็นจีโอและเครือข่ายภาคประชาชนเพียงกลุ่มเดียว และเมื่อศึกษารายละเอียดของกฎหมายที่ร่างแล้ว ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นมีมากกว่าที่จะมาติดใจในความเห็นที่ไม่ตรงกัน โดยควรที่จะยอมให้กฎหมายฉบับนี้เดินหน้าต่อไป
กรณีถูกตั้งคำถามว่า กฎหมายฉบับนี้ ได้เงินค่าเสียหายแถมฟ้องอาญาต่อได้อีก ในมาตรา 45 นั้น เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ข้อเท็จจริงกฎหมายฉบับนี้ช่วยทำให้การพิจารณาคดีอาญาเป็นคุณกับแพทย์และผู้ประกอบวิชาชีพ ตลอดจนศาลมีอำนาจสั่งไม่ลงโทษ หากได้รับการชดเชยค่าเสียหายไปแล้ว
ส่วนกรณีกฎหมายที่ร่างขึ้น ไม่มีตัวแทนวิชาชีพในคณะกรรมการนโยบายตามมาตรา 7 นั้น นางสาวสารี กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีผู้แทนสถานพยาบาลถึง 3 คน มาจากสถานพยาบาลรัฐและเอกชนที่จ่ายเงินสมทบ ซึ่งควรได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการนโยบาย เนื่องจากมีส่วนได้ส่วนเสียกับกองทุนดังกล่าว โดยไม่ได้มีเจตนาต้องการจับผิดแพทย์ หรือพิจารณามาตรฐานแพทย์
“ส่วนมาตรา 6 การไม่คุ้มครองกรณีความเสียหาย ซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้จากการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานวิชาชีพ ที่กลุ่มแพทย์เสนอมานั้นเป็นเรื่องดี แต่เรื่องที่ได้ถูกแก้ไขไปนั้น ไม่ได้มาจากร่างที่ประชาชนเสนอ เนื่องจากร่างของประชาชน ระบุเหตุที่จะไม่คุ้มครองน้อยมาก มีเพียง 2 เหตุที่จะไม่ได้รับเงินชดเชย คือ 1. การเป็นไปตามอาการของโรค เช่น มะเร็งระยะสุดท้าย และ 2.ความเสียหายนั้น ไม่ได้มีผลต่อการดำรงชีวิต”
ประเด็นที่มีข้อกล่าวหาที่ว่า มีตัวอย่างในประเทศสวีเดน ที่เมื่อมีกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้น จะนำไปสู่การชดเชยความเสียหายที่มากขึ้นตามด้วยนั้น นางสาวสารี กล่าวว่า การชดเชยความเสียหายที่มากขึ้น ไม่ได้หมายความถึงการฟ้องร้องจะมากขึ้น เพราะหากมีฟ้องร้องต้องใช้เงินประมาณ 22,000 ยูโรและใช้เวลาไกล่เกลี่ยนาน แต่เมื่อมีการชดเชยค่าเสียหาย ทำให้มีกระบวนการพิจารณาน้อยลง และใช้เงินเพียง 900-1,000 ยูโร นับว่าค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน
“หาก ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ผ่านเข้าสู่การพิจารณาแล้ว เชื่อว่า ประชาชนทั้ง 65 ล้านคน จะได้ประโยชน์ทั้งหมด เพราะปัจจุบันมีระบบการช่วยเหลือตามมาตรา 41 เฉพาะคนไข้บัตรทองกลุ่มเดียว ไม่รวมข้าราชการและการใช้สิทธิประกันสังคม โดยหากมีการขยายมาตรา 41 เพิ่มเติม เชื่อว่าจะมีกลไกเกิดขึ้นในการคุ้มครองผู้เสียหายทุกระดับทั่วประเทศ”เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว
ด้าน นพ.วชิระ บถพิบูลย์ ตัวแทนชมรมแพทย์ชนบท และผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา กล่าวถึงกฎหมายฉบับนี้มีประโยชน์กับประชาชน เป็นการยกระดับสังคมได้อีกระดับหนึ่ง เพราะสามารถดูแลคุ้มครองได้ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและคนไข้ก็จะทำงานด้วยความสบายใจ นอกจากนี้ยังลดความเหลื่อมล้ำ สิทธิ ศักดิ์ศรี อำนาจ ของประชาชนที่ได้รับความคุ้มครองอย่างเท่าเทียมด้วย ซึ่งหากมีกระบวนการช่วยเหลือผู้เสียหายอย่างทันท่วงที จะทำให้กระบวนการในการฟ้องร้องเกิดขึ้นน้อยลง
ส่วนนพ.วีรพันธ์ สุพรรณไชยมาศ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น กล่าวว่า หากมี พ.ร.บ.ฉบับนี้เกิดขึ้น จะเป็นเสมือนการเปิดเวทีระหว่างเจ้าหน้าที่บริการสาธารณสุขกับคนไข้ได้นั่งพูดคุยกัน ตัวอย่างเช่น ที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นที่มีผู้เสียหายจากการผ่าตัดตาจำนวน 10 ราย และเกิดการฟ้องร้องค่าเสียหาย แต่ทางโรงพยาบาลใช้วิธีการเชิญญาติคนไข้ตั้งโต๊ะกลม รับฟังความคิดเห็นกันเอง สร้างสัมพันธ์ที่ดี แก่คนไข้และเจ้าหน้าที่ทำให้การเจรจาง่ายขึ้น คงไว้ซึ่งความเชื่อใจระหว่างโรงพยาบาลกับคนไข้เช่นเดิม
“อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์ คือ ความเสมอภาคของประชาชน เช่น ข้าราชการที่ไม่มีเงินเยียวยามารองรับเหตุเช่นนี้ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ จะช่วยให้โรงพยาบาลเล็กๆในต่างอำเภอที่มีแพทย์และเครื่องมือไม่เพียงพอ ที่สำคัญแพทย์และพยาบาล ในชนบทก็จะทำงานสบายใจขึ้น เพราะกระบวนการนี้ได้เยียวยาเบื้องต้นในขั้นแรกแล้ว ลดความร้อนแรงในจิตใจคนไข้ได้ เรื่องหนักก็จะกลายเป็นเบา ส่วนรายละเอียด เรื่องจำนวนคณะกรรมการในมาตราต่างๆที่มากหรือน้อยไป เรื่องนี้น่าจะเจรจาได้ ขณะนี้ควรถึงคิวที่ต้องผ่านช่วงแรกไปก่อน หากมีการแก้ไขควรแก้ในชั้นแปรญัตติ ขณะนี้สิ่งใดควรแก้ควรแก้ไปพร้อมกัน” นพ.วีรพันธ์ กล่าว
ขณะที่นางสาวบุญยืน ศิริธรรม ตัวแทนเครือข่ายผู้บริโภคภาคตะวันตก กล่าวว่า พ.ร.บ.นี้จะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น โดยการชดเชยและเยียวยา มีเป้าประสงค์เพื่อสาธารณชนให้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียม และให้แพทย์มีกำลังใจในการทำงาน มากกว่าการหวาดระแวงในการรักษาคนไข้ ซึ่งตนของยืนยันว่า กฎหมายนี้ไม่ได้มีเจตนาดั่งที่แพทยสภาชี้แจงแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันพรุ่งนี้ (29 ก.ค.) เวลา 13.30 น. เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อ เครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ เข้ายื่นจดหมายต่อแพทยสภาเพื่อขอให้พูดความจริง หยุดโกหก ต่อสาธารณะ กรณี ร่างพ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ....และยื่นจดหมายต่อสภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภาพยาบาล เพื่อขอให้สนับสนุนร่าง พ.ร.บ. นี้ และในเวลา 15.00 น. จะเข้าพบปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอให้ชี้แจงข้อมูลกับข้อราชการและหน่วยในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ณ กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี
อย่างไรก็ตาม ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบกระบวนการพัฒนาวิชาชีพเวชกรรม ในคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวถึงผลการสัมมนาเรื่อง “ผลกระทบของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... และการเตรียมความพร้อม” ที่คณะกรรมาธิการจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า ผู้เข้าร่วมการสัมมนาเห็นว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อแพทย์และผู้ป่วยที่รับบริการ โดยเฉพาะแพทย์ซึ่งเป็นผู้ทำการรักษาอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งและอาจ ถูกคณะกรรมการฯ พิเศษตัดสินความผิดได้ ในส่วนของผู้ป่วยที่เป็นผู้รับบริการก็อาจได้รับผลกระทบจากการที่โรงพยาบาล ขึ้นค่ารักษาพยาบาลเพื่อนำเงินมาส่งเข้ากองทุนที่ตั้งขึ้นโดยรัฐบาลและโรงพยาบาล ซึ่งถือว่าเป็นการผลักภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้บริโภค
ต่อข้อ ถามถึงคณะกรรมการฯ ที่ตั้งขึ้นพิเศษ ศ.นพ.วิรัติ กล่าวว่า เป็นคณะกรรมการฯ ที่ไม่มีความรู้เรื่องทางการแพทย์เปรียบเสมือนคณะลูกขุนที่มาตัดสินเรื่องแพทย์ ซึ่งมีกฎหมายแพ่งที่สามารถใช้ในทางปฏิบัติยู่แล้ว ทั้งนี้ตนเชื่อว่า ยังมีแพทย์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ทราบรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้
“ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขณะนี้มีประมาณ 7 ร่าง ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเลือกว่าจะนำเสนอร่างใดเข้าสู่สภา ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะนำเสนอสภาฯ พิจารณาได้เดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งอยากให้รัฐบาลพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้รอบคอบ โดยคำถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ส่วนอนุ กมธ.ก็จะนำผลสรุปที่ได้จากการสัมมนาเสนอวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป”