- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- แพทยสมาคม แน ะ ตั้งกรรมการพิจารณา พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ช่วยลดความขัดแย้ง
แพทยสมาคม แน ะ ตั้งกรรมการพิจารณา พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ช่วยลดความขัดแย้ง
เอ็นจีโอ วอน แพทยสภา หยุดโกหก พูดความจริงต่อประชาชน ด้านแพทยสมาคม เตรียมร่อน จดหมายถึงนายกฯ ให้เบรค พ.ร.บ. พร้อมชี้ ตั้งกรรมการขึ้นใหม่ เพื่อความสมานฉันท์
วันนี้(29 ก.ค.) เวลา 13.30 น. เครือภาคประชาชน ประกอบด้วย เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อ เครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อแพทยสภา เพื่อขอให้พูดความจริงกรณี (ร่าง) พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... โดยมีนายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการ มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เป็นประธานในการยื่นจดหมาย
นาย นิมิตร์ กล่าวว่า จากการที่ตนได้ติดตามความเคลื่อนไหวของการออกมาคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ จากแพทยสภานั้น พบว่า เป็นการให้ข้อมูลด้านเดียวซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีอคติที่แสดงเจตนารมณ์ให้ร้ายร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ส่งผลให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างแพทย์ที่ทำการรักษากับผู้เข้ารับการรักษา วันนี้จึงได้นำจดหมายเปิดผนึกพร้อมด้วยการจุดเทียนพรรษา เพื่อต้องการจะส่องแสงให้แพทยสภาเห็นในสิ่งที่ถูกที่ควรเข้าใจในศีลธรรม และที่สำคัญอยากขอวอนให้แพทยสภาหยุดให้ข้อมูลอันแสดงถึงการให้ร้ายภาคประชาชน และ พ.ร.บ. ดังกล่าว
"จริงๆแล้วส่วนที่ขัดแย้งกัน คือ ในเรื่องของมาตรา 6 ที่แสดงถึงลักษณะความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ และ มาตรา 45 ที่อธิบายถึงเรื่องการฟ้องในคดีอาญา ซึ่งทั้ง 2 มาตรา ต่างก็เป็นประเด็นที่แพทยสภาและภาคประชาชนร่วมกันทำงานทั้งสิ้นและกว่าจะเป็นร่างพ.ร.บ. ฉบับนี้ ขึ้นมาทุกฝ่ายรับรู้ดีกว่ามันเกิดจากการระดม ความคิดที่ร่วมกันร่างเอาไว้จึงอยากให้แพทยสภาได้มีความชัดเจนและกล้าที่จะยอมรับความจริงในเรื่องนี้ด้วย " นายนิมิตร์ กล่าว
นพ.อำนาจ กุสลานันท์ อุปนายกแพทยสภา ผู้ที่ออกมารับจดหมาย กล่าวว่า โดยหลักแล้วแพทยสภามีเจตนาที่จะดูแลประชาชนและเพื่อนร่วมวิชาชีพแพทย์ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยในส่วนของคณะกรรมการของแพทยสภาที่คัดค้าน พ.ร.บ.ดังกล่าวนั้น เนื่องจากที่ประชุมมีมติร่วมกัน 5 ด้าน ได้แก่ 1.แพทยสภาได้พิจารณาเนื้อหาของร่างพ.ร.บ.พบว่า สาระสำคัญไม่สอดคล้องกับหลักการและเหตุผลที่กล่าวไว้หากประกาศบังคับใช้จะไม่สามารถความลดความขัดแย้งในระบบบริการสาธารณสุขได้จริง แม้ว่าแพทยสภาจะเห็นด้วยในเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.นี้ 2. หน่วยงานที่มีส่วนได้ส่วนของเสียของร่างพ.ร.บ.ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบรายละเอียด และมีส่วนร่วม 3 .เนื้อหาของพ.ร.บ. จะมีผลกระทบรุนแรงต่อเนื่องต่อระบบการเงินการคลังและบริการสาธารณสุขของประเทศ 4. แพทยสภาเสนอให้มีการขยายการเยียวยาความเสียหายทางการแพทย์ให้ครอบคลุมประชากรทั้งประเทศผ่านระบบประกันสุขภาพที่มีอยู่แล้ว 5 .ควรถอนร่างพ.ร.บ.นี้มาทบทวนให้รอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ในการประชุมร่วมกันระหว่างภาคประชาชนและแพทย์ ในสัปดาห์หน้าแพทยสภาจะนำเสนอประเด็นเหล่านี้นำเสนอด้วย
“แพทยสภาไม่ได้มีเจตนาจะเสนอให้ล้ม ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพียงแต่เสนอให้มีการทบทวนและนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีสิทธิในการวิพากษ์แก้ไขก่อน จากนั้นจึงส่งกลับเข้ากระบวนการพิจารณาของสภาใหม่อีกครั้ง โดยเห็นว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของคณะกรรมการที่ควรมีตัวแทนจากสภาวิชาชีพ ในสัดส่วนเท่ากัน และควรจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นที่สำคัญในเรื่องของการที่สามารถเรียกร้องค่าชดเชยจากความเสียหายโดยไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิดนั้น อยากให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนกว่านี้"
ด้าน พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายกแพทยสมาคมแห่ง ประเทศไทย กล่าวว่า ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรทางสาธาณสุขกับฝ่ายภาคประชาชนต่อเรื่องการออกร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ นั้น สะท้อนให้เห็นว่าประเด็นดังกล่าวนำมาสู่ความขัดแย้งกันมากขึ้น ดังนั้น ทางแพทยสมาคมจึงได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อให้หาข้อยุติสำหรับความขัดแย้ง ดังกล่าว โดยเสนอแนะต่อนายกว่า ควรที่จะชะลอเวลาการนำร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯเข้าสู่ที่พิจารณาของสภาฯ อย่างน้อย 1 เดือน แล้วจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 3 ฝ่าย ได้แก่ 1.คณะกรรมการภาครัฐบาล 2.คณะกรรมการภาคประชาชนผู้เข้ารับบริการ และ 3.คณะกรรมการฝ่ายบุคลากรหรือผู้ให้บริการด้าน สาธารณสุข แล้วให้ทุกฝ่ายร่วมเจรจากันเพื่อให้ได้ข้อยุติในเรื่องการ กำหนดหลักการใน ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว โดยเชื่อว่า หากจัดตั้งสำเร็จนั้นจะช่วยให้เกิดความสมานฉันท์มากขึ้น ทั้งนี้จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวจะมีเจ้าหน้าที่จากแพทยสมาคมนำไป ยื่นต่อ รัฐมนตรี ในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ (30 ก.ค.)
ส่วน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการพูดคุยกับกลุ่มตัวแทนเครือข่ายครั้งนี้ มีความคิดเห็นตรงกันว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนผู้เสียหายได้รับการดูแล ขณะเดียวกันแพทย์หรือบุคลากร ทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงาน มีความสบายใจว่าไม่มีการฟ้องร้องหรือถูกฟ้องร้องไม่เพิ่มขึ้น
“ใน หลักการได้เน้นให้ 2 เรื่องนี้เดินควบคู่กัน ส่วนวิธีการที่จะทำให้เกิดขึ้นได้นั้น นอกจากคุยกับกลุ่มนี้แล้ว จะหาโอกาสคุยกับทุกๆ กลุ่มที่เกี่ยวข้อง โดยจะไม่มีการพูดถึงว่าใครจะดึงไม่ดึงร่าง พรบ. เพราะเท่าที่ดูและฟัง ด้านกลุ่มแพทย์พยาบาลก็ไม่ได้คัดค้านว่าจะไม่ให้ดูแลผู้ได้รับความเสียหาย เพียงแต่ให้การทำงานเป็นไปอย่างสบายใจ ไม่กังวลเรื่องการฟ้องร้อง ซึ่งจริง ๆ แล้วอีกฝ่ายก็มีความคิดเห็นตรงกันกับเรื่องนี้”
นพ.ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า สุดท้ายจะต้องให้ทุกฝ่ายได้มาพูดคุยกัน อาจจะต้องปรับความคิดเห็นเข้าหากัน ถ้าในหลักการเดินหน้าไปด้วยกันได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี มั่นใจว่าหากทั้ง 2 ด้านเดินไปด้วยกัน จะทำให้ผู้ป่วยได้รับการคุ้มครอง ด้านแพทย์พยาบาลก็จะมีความสบายใจ บรรยากาศการทำงานก็จะดีขึ้น