- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ตัวแทนเยาวชน ยกมืออาสาขอเป็นหุ้นส่วนหนึ่ง ขับเคลื่อนสังคมไทย
ตัวแทนเยาวชน ยกมืออาสาขอเป็นหุ้นส่วนหนึ่ง ขับเคลื่อนสังคมไทย
เวทีสมัชชาสุขภาพฯ วันแรก ถกปัญหา-หาทางออก ชูประเด็นร่วมฝ่าวิกฤติความไม่เป็นธรรม นำสังคมสู่สุขภาวะ “อรุณฉัตร” แนะสังคมปรับมุมมองเยาวชน หนุนเสริมให้สามารถลงความเห็นในนโยบายเกี่ยวข้องกับเยาวชนได้ ขณะที่ตัวแทนชนเผ่าดาราอั้ง ขอพื้นที่ยืนให้คนชายขอบ ระบุ จะมีหรือไม่มีสัญชาติไทย ควรเห็นเป็นมนุษย์เหมือนกัน
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 เป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ โดยมีรองศาสตราจารย์ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา ประธานกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ประธานเปิดการประชุม และแนะนำคณะกรรมการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
จากนั้นมีปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ร่วมฝ่าวิกฤติความไม่เป็นธรรม นำสังคมสู่สุขภาวะ” โดยนายอรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร และกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ, นางคำ นายนวล ชนเผ่าดาราอั้ง ,นายชลน่าน ศรีแก้ว รองประธานกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร และนางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
เริ่มต้นนายอรุณฉัตร กล่าวถึงเหตุที่เยาวชนขาดกระบวนการคิด วิเคราะห์ และแยกแยะในประเด็นต่างๆ ทั้งประเด็นการเมือง และสังคม เนื่องจากผู้ใหญ่มีมุมมองที่ปกป้องคุ้มครองเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติให้ปราศจากสี หรือสิ่งเลวร้ายเจือปน
“เยาวชนไทยทุกวันนี้ไม่ได้แตกต่างจากเยาวชนสมัยก่อน ความเลวร้ายไม่ได้มากขึ้น แต่ด้วยกระแสสังคมและกระบวนการสื่อสารที่รวดเร็วทำให้เรื่องราวต่างๆ ถูกพูดถึงในสังคมมากขึ้น รวดเร็วขึ้น เช่น ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ ท้องไม่พร้อม หรือการทะเลาะวิวาท ซึ่งส่วนตัวคิดว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้สังคมรับรู้ สามารถประเมินสถานการณ์แก้ปัญหาเด็กและเยาวชนได้อย่างถูกต้อง และตรงจุด”
การให้เยาวชนเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคมนั้น นายอรุณฉัตร กล่าวว่า เกิดได้ไม่อยาก แค่สังคมปรับมุมมองที่มีต่อเยาวชนจากผู้ที่ต้องได้รับการดูแล มาเป็นหุ้นส่วนของสังคม เพื่อให้เยาวชนสามารถแสดงออกถึงความคิด การกระทำ การตัดสินใจ เสียงของเยาวชนสามารถลงความเห็นในเรื่องเกี่ยวข้องกับเยาวชนได้ โดยเฉพาะนโยบายของรัฐที่มีผลผูกพันเกิน 20 ปี จำเป็นต้องให้เยาวชนได้รับรู้ เข้าใจ และมีส่วนร่วม รวมถึงร่วมดำเนินการ เพราะนโยบายเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อในยุคที่เยาวชนโตเป็นผู้ใหญ่
“ผมเชื่อว่า หากเรามองเยาวชนเป็นหุ้นส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม โดยมีผู้ใหญ่ทำหน้าที่เป็นผู้หนุนเสริม ให้คำปรึกษาอย่างเมตตา เชื่อว่า อนาคตอันใกล้เราจะเห็นพลังที่สร้างสรรค์ อันบริสุทธิ์เข้ามาเติมเต็มสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เต็มไปด้วยผลประโยชน์และความเหลื่อมล้ำ”
ขณะที่นางคำ กล่าวถึงความไม่เท่าเทียมจากการถูกเรียกขานว่า เป็นคนชายขอบ และประสบปัญหาไม่มีทั้งเรื่องการรักษาพยาบาล เบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุ เบี้ยยังชีพผู้พิการ หรือแม้กระทั่งการได้รับการช่วยเหลือแจกจ่ายข้าว ของให้ผู้ยากจน จากอบต. ที่มาแจกให้ โดยจะเก็บข้อมูลเฉพาะคนที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น
“การแจกข้าวของช่วยเหลือผู้ยากจน ข้อนี้ก็ยังไม่ยุติธรรม ทั้งๆที่เขาเห็นเราทุกวัน เป็นคนที่นี่ อยู่ที่นี่จริงๆ อยากให้มองเห็นว่า จะมีหรือไม่มีสัญชาติไทย ควรเห็นเราเป็นมนุษยชนเหมือนกัน”
กรณีถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกทำลายป่า นางคำ กล่าวว่า ถูกจับบ่อยครั้ง ล่าสุด ถือเป็นครั้งที่ 3 เจ้าหน้าที่จับทั้งผู้หญิง ผู้ชาย คนพิการ คนชรา และคนท้อง บุกจับตอนตี 5 ข้อหาบุกรุกทำลายป่า ซึ่งแม้จะมีหลายหน่วยงานเข้าช่วยเหลือ ศาล อัยการ เห็นใจชาวบ้านจัดที่อยู่อาศัย มีโครงการบ้านมั่นคงชนบทบ้านปางแดงนอก ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หลายคนอาจมองว่า มีชุมชน มีหมู่บ้าน มีรอยยิ้ม แล้ว แต่การมีที่บ้านแต่ไม่มีที่ทำกิน ก็เป็นสิ่งที่ลำบากเหมือนกัน โดยเฉพาะกับคำครหา ชาวบ้านรับจ้างนายทุนบุกรุกทำลายป่า
ส่วนนายชลน่าน กล่าวถึงการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติปีนี้ ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญของความไม่เป็นธรรม แล้วบอกกล่าวกับผู้คนทั่วประเทศนี้ว่า เป็นวิกฤติของประเทศไทย ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งความไม่เป็นธรรม เกิดทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจรายได้ การกระจายทรัพย์สิน เป็นความเหลื่อมล้ำเชิงประจักษ์
“ตัวเลขเชิงประจักษ์ทางเศรษฐกิจ เป็นส่วนแหลมนิดเดียวที่โผล่มาจากภูเขาน้ำแข็ง และวัดได้ แต่ที่วัดไม่ได้ คือ ที่จมอยู่ในทะเล ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ทั้งธุรกิจมืด ธุรกิจเถื่อน ความไม่เท่าเทียม”
นายชลน่าน กล่าวถึงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น วันนี้ยังเป็นแค่รูปแบบ ซึ่งหากมีการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง เชื่อว่าท้องถิ่นมีศักยภาพดูแลผู้คนได้อย่างดีมากกว่ารัฐบาลกลาง ทั้งนี้ คงต้องตั้งคำถามว่า ทำไมท้องถิ่นเราไม่พัฒนา ไม่ได้รับโอกาสใดๆ เลย
สุดท้ายนางพรรณสิริ กล่าวว่า อิทธิพลทางเศรษฐกิจทำให้สังคมแปรเปลี่ยนไป เกิดความไม่สงบสุข และนำไปสู่สภาวะเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรม ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม โดยเฉพาะวัฒนธรรมทุนนิยมที่เข้ามา แม้จะทำให้สังคมไทยสะดวกสบาย แต่ก็ได้ดูดซับทรัพยากรธรรมชาติ สร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนที่มีและไม่มีอย่างเห็นได้ชัด
“วิถีชีวิตคนท้องถิ่นมีความหลากหลาย มีคุณค่า มีพลังอยู่เต็มแผ่นดิน ซึ่งจากการได้สัมผัส และศึกษาเรียนรู้รูปแบบการพัฒนาท้องถิ่น จึงได้เข้าใจและตระหนักว่า ประเทศไทยมีบุญใต้ร่มพระบารมี ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญานำทาง มีเป้าหมายที่จะพัฒนาคนเป็นสำคัญ บนพื้นฐานของการพึ่งตนเอง ดังนั้น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เต็มพื้นที่ ในชุมชนท้องถิ่น จะเป็นรากเหง้าที่เป็นแก่นแท้ เป็นพลังของชุมชนท้องถิ่น และจะเป็นพลังสำคัญของประเทศ”