- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ช่วงเปลี่ยนผ่าน เปิดเวทีสาธารณะรอบ 2 ฟังความเห็น ร่างประกาศ กทช.
ช่วงเปลี่ยนผ่าน เปิดเวทีสาธารณะรอบ 2 ฟังความเห็น ร่างประกาศ กทช.
‘ต่อพงษ์’ เผยหากการรับฟังความคิดเห็น ไม่มีข้อเสนอที่เปลี่ยนหลักเกณฑ์มากนัก คาดสิ้นเดือนนี้จะนำข้อคิดเห็นไปปรับปรุงร่างฯ เพื่อนำเข้าประชุมคณะทำงาน 7 ธ.ค. เชื่อเกิด กสทช. แล้ว ร่างฯ นี้จะถูกนำไปปรับใช้ต่อ
วันที่ 24 พฤศจิกายน คณะทำงานด้านกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ในคณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อร่างประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการอนุญาตและการประกอบกิจการชั่วคราวในกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ณ ห้อง Grand Ballroom ชั้น 1 รร.รามาการ์เด้น กรุงเทพฯ
นายต่อพงษ์ เสลานนท์ ประธานคณะทำงานด้านกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ในคณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ หนึ่งในกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า สิ่งเดียวที่คณะอนุกรรมการฯ สามารถทำได้ในช่วงนี้ คือ การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อ ร่างประกาศ กทช. ซึ่งจัดขึ้นเพื่อปรับปรุง และให้ทัศนะสำหรับการประกาศร่างฯ ฉบับนี้ โดยทางคณะอนุกรรมการฯ มีจุดมุ่งเน้นสำคัญ ให้การทำงานในช่วงเปลี่ยนผ่านจาก กทช. เข้าสู่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หลังร่างนี้ผ่านเข้าสภาฯแล้ว เป็นไปได้อย่างราบรื่นที่สุด
“สิ่งที่ทุกคนกำลังคาดหวังและจับตามอง คือคณะกรรมการชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหาร กสทช. ที่อยากให้มีความรู้ ความเข้าใจในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งประเด็นนั้นทางคณะอนุกรรมการฯ ไม่สามารถกำหนดได้ แต่ก็ได้พยายามทำกระบวนการทั้งหมดให้มีความยืดหยุ่น ไม่ซับซ้อน โดยให้ความสำคัญและควบคุมเนื้อหา อิงหลักพระราชบัญญัติการประกอบกิจการการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ส่วนเนื้อหาที่มีการดูแลควบคุม จะเป็นเรื่องเพศ การเมือง สุขภาพ ความรุนแรง ตามหลักสากล”
นายต่อพงษ์ กล่าวว่า หากการรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ไม่มีข้อเสนอที่เปลี่ยนหลักเกณฑ์การร่างฯ มากนัก และในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ก็จะนำข้อคิดเห็นทั้งหลายไปปรับปรุงร่างฯ เพื่อนำเข้าประชุมคณะทำงานในวันที่ 7 ธันวาคมต่อไป และจะมีการจัดโฟกัสกรุ๊ปรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่มอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจน และตรงต่อการใช้งานในแต่ละด้านมากที่สุด ซึ่งมีความเชื่อมั่นว่าหากคณะอนุกรรมการฯ จัดทำร่างฯ ได้ดี และครอบคลุมการใช้งาน เมื่อมี กสทช. เกิดขึ้นจริง ร่างฯ ก็คงจะถูกนำไปปรับใช้ต่อในการทำงานของ
ขณะที่นายทวี เส้งแก้ว คณะทำงานด้านกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ กล่าวว่า การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศ กทช. ครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งแรกจัดไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมา แต่ที่จัดขึ้นอีกเพื่อความรอบคอบ และเปิดพื้นที่ให้คนที่ประกอบกิจการ หรือกำลังจะประกอบกิจการได้มีส่วนร่วมมากที่สุด และแม้ว่าการรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้จะทำให้กระบวนการร่างประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ฉบับนี้ล่าช้า แต่ก็จะขจัดปัญหาข้อโต้แย้งที่จะตามมาเหมือนการร่างในฉบับอื่นๆ
ต่อจากนั้นมีเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากผู้เข้าร่วมประชุม โดยนายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กรรมการผู้อำนวยการบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (NBC) กล่าวว่า หลักเกณฑ์ของร่างฯ ฉบับนี้ น่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เพราะไม่มีเรื่องจุกจิกประเภทบังคับผู้ประกอบการ ส่วนข้อห้ามต่างๆ ก็มีความเป็นสากลมากขึ้น จึงมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกับร่างฯ ว่าจะสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการผลิตเนื้อหา สาระสู่สาธารณะชน แต่ขอฝากให้คณะอนุกรรมการฯ หาวิธีส่งเสริมการสร้างเนื้อหาที่ดีเพื่อให้ผู้ชมได้รับประโยชน์เป็นหลักด้วย
ด้านนายวิชิต เอื้ออารีวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญยิ่ง (8888) จำกัด และอุปนายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ร่างนี้ได้ให้ความสำคัญกับหลักเกณฑ์การกำกับดูแลโทรทัศน์ดาวเทียมน้อยกว่า หลักเกณฑ์ของเคเบิลทีวีมาก ทั้งที่การเผยแพร่เนื้อหาของโทรทัศน์ดาวเทียมสร้างผลกระทบครอบคลุมไปได้ทั่วประเทศ แต่เคเบิลทีวีครอบคลุมภายในตำบล จึงมีข้อเสนอให้พิจารณาปรับหลักเกณฑ์ส่วนนี้อีกครั้ง
จากนั้น ตัวแทนจากสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม มีข้อเสนอให้ คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาหลักเกณฑ์ สิทธิ ค่าเสียหาย ตลอดจนค่าชดเชยให้มีวิธีการที่ชัดเจน และเข้าใจง่ายมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนสมาคมดิจิตอลบันเทิงไทย ขอให้คณะอนุกรรมการฯ ที่ดูแลการร่างฯ พิจารณาผลการศึกษาที่เกิดขึ้นแล้วจากทั่วโลก เพื่อหาจุดหนักแน่น และไม่ผันแปรง่ายๆ เพราะการร่างฯ เป็นการสร้างกฎมาควบคุม กำกับดูแลการทำงาน จึงต้องเป็นธรรม เป็นกลาง และมีความหนักแน่นตามธรรมชาติของกฎ การเกิดขึ้นของร่างฯ และการให้ความสำคัญกับเนื้อหาจึงเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการจ้องจะแข่งขันกันระหว่างผู้ประกอบการ แต่ผู้ประกอบการเองควรจะร่วมมือกันสร้างให้ธุรกิจด้านนี้มีความแข็งแรง และเติบโตทัดเทียมต่างชาติ.