- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นายกฯ ชื่นชมหอการค้าผลักดันโครงการนำร่องลดความเหลื่อมล้ำ
นายกฯ ชื่นชมหอการค้าผลักดันโครงการนำร่องลดความเหลื่อมล้ำ
สัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 28 ตลอด 3 วัน จัดที่ขอนแก่น ปิดฉากลงแล้ว ภาคเอกชนได้ข้อสรุป เน้นให้ความกับการสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศ, ให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ และมุ่งขจัดทุจริตคอร์รัปชั่น
วันที่ 28 พฤศจิกายน ณ ห้องแกรนด์ ออคิด บอลรูม โรงแรมพลูแมน ราชาออคิด จังหวัดขอนแก่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานปิดการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 28 พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “บทบาทภาคเอกชนในการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมไทย” โดยมีนายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย และกรรมการสมัชชาปฏิรูป นายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานหอการค้าไทย นายเกียรติ สิทธิอมร ผู้แทนการค้าไทย คณะกรรมการและประธานหอการค้าจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ประชาชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟัง
นายดุสิต กล่าวว่า การสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศในปีนี้ ได้กำหนดหัวข้อหลักของการสัมมนาคือ “ก้าวไปข้างหน้าอย่างผู้นำ” ซึ่งเป็นแผนงานต่อเนื่องจากผลการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศในครั้งที่ผ่านมา มุ่งเน้นถึงการปรับตัว เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 รวมทั้งเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ในมุมมองของหอการค้าไทย โดยกำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศไทยไว้ “เป็นประเทศชั้นนำของภูมิภาคที่สอดรับกับทิศทางของแผนปฏิรูปประเทศไทยและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ให้ดำเนินไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาประเทศที่สอดคล้องกันต่อไป โดยที่ผ่านมาหอการค้าได้ดำเนินการจัดทำโครงการนำร่องลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ ผ่าน “โครงการ 1 ไร่ 1 แสน” ซึ่งเป็นโครงการทำเกษตรผสมผสานระหว่างปลูกข้าว พืชผักสวนครัว และเลี้ยงปลา เลี้ยงกบเพื่อใช้บริโภคในครอบครัวนำส่วนที่เหลือไปขายเป็นรายได้เสริม และได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ณ บ้านหนองแต้ ตำบลหนองดง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น
นอกจากนั้นยังมีโครงการ “1 บริษัท 1 ชุมชน” มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลผลิตของกลุ่มเกษตรกรรม สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม อัญมณี เครื่องประดับ การแปรรูปอาหาร ขนส่ง และโลจิสติกส์ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ที่เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ และสร้างสังคมให้เป็นสุข
ด้านนายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานหอการค้าไทย กล่าวสรุปผลการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 28 ระหว่างวันที่ 26 – 28 พฤศจิกายน 2553 ว่า ในปีนี้ หอการค้าไทยได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) การเปลี่ยนแปลงของภาวะโลกร้อน และอื่นๆ โดยที่หอการค้าไทยจะไม่เป็นเหยื่อของการเปลี่ยนแปลง แต่จะก้าวอย่างผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วยแนวคิด 4S คือ 1.Standard คือการผลักดันให้ประเทศไทยมีการดำเนินงานที่เป็นมาตรฐานสากลทั้งกฎระเบียบ และคุณภาพสินค้า 2.Safety คือการสร้างความปลอดภัยในการบริโภคให้กับสินค้า เพื่อก้าวไปสู่สังคมโลก 3.Security คือการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงชุมชน ความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อม และ 4.Sustainability คือการสร้างประเทศไทยให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืน สร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ และสังคม
สำหรับผลสรุปการสัมมนาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1.ให้ความกับการสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศ 2.ให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และเศรษฐกิจ 3.ให้ความสำคัญมุ่งขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น
จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวปิดการสัมมนา พร้อมกล่าวปาฐกถา เรื่อง “บทบาทภาคเอกชนในการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมไทย” ตอนหนึ่งว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาภาคเอกชนได้ให้ความร่วมมือกับภาครัฐเป็นอย่างดี ในการขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาของประเทศ ในปีที่แล้วจากการดำเนินการ 6 ยุทธศาสตร์ 7 กลุ่มธุรกิจ 18 กลุ่มจังหวัดของหอการค้าไทย เป็นแนวทางที่ช่วยเติมเต็มให้กับการทำงานของรัฐในการกำหนดยุทธศาสตร์สำหรับจังหวัด และกลุ่มจังหวัด ถือเป็นแนวทางการพัฒนาที่สำคัญโดยการยึดพื้นที่เป็นศูนย์กลางในการพัฒนา เพื่อเสริมกระบวนการทำงานตามปกติของภาครัฐ
สำหรับปีนี้มีการจัดสัมมนาที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในภาคนี้ และเป็นภาคที่ประสบปัญหากับความยากจนมาโดยตลอด ทั้งที่ศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร การท่องเที่ยว เพราะมีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ต่อจากนี้ไปการสร้างโอกาสทางด้านการค้า การลงทุน จะช่วยหนุนทำให้อุตสาหกรรม การเกษตร และการบริการในภูมิภาคนี้สามารถเติบโต โดยรัฐบาลพยายามผลักดันโครงการซึ่งถือว่ามีความหมายอย่างมากต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ เรื่องของการใช้เงื่อนไขของการเชื่อมโยงในประชาคมอาเซียน การเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และการเชื่อมโยงระหว่างอาเซียน และอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง กับประเทศจีน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า 2 เรื่องใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องผลักดันให้เกิดขึ้น คือ 1.เรื่องของระบบโลจิสติกส์ ขณะนี้รัฐบาลไทยอยู่ในช่วงเจรจาทำข้อตกลงกับประเทศจีน เพื่อให้มีการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงอย่างเร่งด่วน เพื่อนำไปสู่การเชื่อมโยงการขนส่งระบบรางด้วยรถไฟความเร็วสูงจากประเทศจีนผ่านเส้นทางจังหวัดหนองคาย อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา ไปสู่กรุงเทพมหานคร หลังจากนั้นจะมีการพิจารณาขยายเส้นทางจากกรุงเทพไปยังจังหวัดระยอง และจากกรุงเทพฯ ไปยังเขตชายแดนภาคใต้ของไทยเพื่อเชื่อมต่อไปประเทศมาเลเชีย และประเทศสิงคโปร์ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ถ้าสามารถบรรลุข้อตกลง และเริ่มก่อสร้างได้ภายในต้นปีหน้าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 4 ปี จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ในเรื่องของระบบการขนส่งมีความเร็วไม่ต่ำกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยทำให้ประหยัดเวลาในการเดินทางได้มากขึ้น เป็นแนวทางการสนับสนุนระบบขนส่งที่มีความปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การเสริมขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจในทุกๆ ธุรกิจ และเป็นโอกาสที่ดีทางด้านเศรษฐกิจ และส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการบริการของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“เรื่องที่ 2 คือเรื่องน้ำ แผนปฏิบัติการภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งที่รัฐบาลได้ดำเนินการถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งการเร่งรัดดำเนินการพัฒนายุทธศาสตร์บริหารจัดการแต่ละลุ่มแม่น้ำมีความสำคัญอย่างมาก รัฐบาลจะได้เร่งดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง และป้องกันปัญหาน้ำท่วม”
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และเศรษฐกิจ ถือว่าสอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศไทยที่รัฐบาลได้พยายามผลักดันอยู่ ในรอบประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ถ้าวัดในเรื่องปัญหาความยากจนสัดส่วนของคนลดลงเร็วมากจากประมาณร้อยละ 40 เหลือต่ำร้อยละ 10 ในระยะเวลา 20 ปี ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน
“ส่วนเรื่องการขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ เป็นปัญหาที่สะสมมานาน มีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาโดยตลอด และได้ยืนยันว่า สังคมจะต้องไม่ยอมรับในเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยได้มีการแสวงหาความร่วมมือทั้งในประเทศ และต่างประเทศ สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐจะต้องโปร่งใส มีความเป็นธรรม ซึ่งภาครัฐ และภาคการเมืองต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา โดยจะมีการดำเนินการปรับปรุง แก้ไขกฏระเบียบ ที่เป็นปัญหา นอกจากนั้นเรื่องของการตั้งราคากลางจะต้องมีความเป็นธรรม เป็นราคาที่มาตรฐานจริงๆ ซึ่งภาคเอกชนต้องเข้ามาช่วยเหลือในการกำหนดราคา ในการวางระบบ”
สุดท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมที่ได้มีการผลักดันโครงการนำร่อง 1 ไร่ 1 แสน เป็นการน้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาปรับใช้ และโครงการ 1 บริษัท 1 ชุมชน ซึ่งเป็นแนวทางที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ที่เป็นจริง จับต้อง ได้ และหวังที่จะเห็นโครงข่ายความร่วมมือลงลึกลงไประดับของพื้นที่ และจังหวัดต่อไป