- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ทักษะแรงงานเพิ่มขึ้นทุกวัน “แล ดิลกวิทยรัตน์” จี้รัฐแก้ให้ตรงจุด
ทักษะแรงงานเพิ่มขึ้นทุกวัน “แล ดิลกวิทยรัตน์” จี้รัฐแก้ให้ตรงจุด
นักวิชาการด้านแรงงาน ชี้กระบวนการผลิต ทำซ้ำ ช่วยพัฒนาทักษะแรงงานอยู่แล้ว ประเด็นหลักควรดูค่าจ้างที่ไม่ได้ปรับขึ้น หนุนแนวคิดดูแลเด็กในสถานที่ก่อสร้าง แนะต้องทำแบบไม่เป็นทางการ ขณะที่ “ส.ว.มณเฑียร” ระบุ ทำร.ร.ร่วมคนพิการ ต้องคิดคู่กับปฏิรูปตำราให้เข้าถึงคนพิการได้ทุกกลุ่ม ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อด้วย
ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ถึงแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษาของแรงงานที่จะมีการจัดหลักสูตรเพื่อเพิ่มทักษะทางด้านอาชีพให้กับแรงงานว่า ในความเป็นจริงกระบวนการผลิตช่วยพัฒนาทักษะของแรงงานอยู่แล้ว เนื่องจากการทำซ้ำย่อมทำให้เกิดความชำนาญ ทำได้เร็ว และสูญเสียน้อย ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่เรื่องของอัตราค่าจ้างที่ไม่มีการเพิ่มขึ้น
“คนที่ทำงาน 5 ปี 10 ปีก็ยังคงกินค่าจ้างขั้นต่ำเช่นเดิม ขณะที่ทักษะของลูกจ้างกลับมีการเพิ่มขึ้นทุกวัน ฉะนั้น จึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องของทักษะ แต่อยู่ที่ค่าตอบแทนซึ่งไม่ได้สัดส่วนกับทักษะที่เพิ่มขึ้น”
ศาสตราภิชาน แล กล่าวถึงการจัดสรรเวลาในการเพิ่มทักษะนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ในช่วงที่คนงานว่างงาน หากมีการพัฒนาทักษะ คนเหล่านี้ก็จะมีจิตใจ มีสมาธิไปนั่งเรียน และหากมีการพัฒนาทักษะ ระหว่างการทำงาน ซึ่งก็หนักอยู่แล้ว โดยให้ลูกจ้างไปอบรมทั้งที่ไม่ได้รับค่าจ้าง ก็คงไม่มีลูกจ้างคนไหนอยากทำ
“ทุกวันนี้ลูกจ้างไม่ใช่ทำงาน 8 ชั่วโมง แต่เป็น 10-12 ชั่วโมง โดยหากจะพัฒนากันจริงๆ จะต้องให้นายจ้างเป็นผู้เสียสละ โดยยอมจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างที่ไปพัฒนาทักษะ อยากถามว่า รัฐบาลจะบังคับให้นายจ้างทำเช่นนั้นได้หรือไม่ และจะแน่ใจได้อย่างไรว่า หากมีทักษะที่ดีขึ้นจะได้ค่าตอบแทนสูงตามไปด้วย ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเข้ามาดูแลในเรื่องของความยุติธรรมในการตอบแทนตามทักษะที่เพิ่มขึ้นด้วย เพราะหากไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้แรงจูงใจในการพัฒนาทักษะก็จะไม่เกิดขึ้น”
นักวิชาการด้านแรงงาน กล่าวด้วยว่า หากจะให้แรงงานไปเรียนในระบบการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) คงไม่สามารถไปเรียนได้ แต่ถ้าเป็นการพัฒนาฝีมือแรงงานไปพร้อมกับการทำงาน ที่เรียกว่า ฝึกอบรมระหว่างทำงาน (On the job training) ย่อมมีความเป็นไปได้ แต่กรณีเช่นนี้ นายจ้างจะต้องเป็นผู้รับภาระให้ลูกจ้างไปทำงานในอีกระดับหนึ่งที่ไม่ถนัด และผลงานที่ออกมาอาจได้ไม่ดีเท่าที่ควร
“รัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงกระบวนการผลิต โดยวางเงื่อนไขให้นายจ้างยอมปล่อยลูกจ้างไปพัฒนาทักษะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ในแง่ของระบบการจัดการจะให้ลูกจ้าง นายจ้าง หรือรัฐบาลเป็นผู้เสียสละ เนื่องจากว่า การก้มหน้าก้มตาทำงานล่วงเวลาของลูกจ้าง เพื่อให้ได้ค่าจ้างที่เพียงพอ ทำให้ลูกจ้างไม่สามารถที่จะเสียสละได้”
ส่วนเรื่องการจัดโครงการนำร่องดูแลเด็กเล็กในสถานที่ก่อสร้างนั้น ศาสตราภิชาน แล กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดี ช่วยแบ่งเบาภาระของคนงาน เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า มีการส่งลูกไปให้พ่อแม่ที่ต่างจังหวัดเลี้ยงดู ซึ่งเท่ากับไปเบียดเบียนฐานะคนในชนบท ที่ยากจนอยู่แล้ว ทั้งนี้ ศูนย์เด็กเล็กที่จะเกิดขึ้นจะต้องไม่เป็นทางการ เนื่องจากคนงานกับความเป็นทางการนั้นเหมือนเป็นข้าศึกต่อกัน ถ้ามีระเบียบมาก การเข้าถึงของคนงานก็เป็นไปได้ยาก
สำหรับแผนปฏิบัติการการปฏิรูปประเทศไทย ในส่วนของรัฐบาล จะมีการดำเนินการจัดโรงเรียนสำหรับการเรียนร่วมระหว่างเด็กพิการกับเด็กปกติ จังหวัดละ 1 แห่ง นั้น นายมณเฑียร บุญตัน สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า อันที่จริง การจัดการเรียนร่วมระหว่างเด็กพิการและเด็กปกติมีขึ้นในเมืองไทยมานานแล้ว อีกทั้งยังมีพระราชบัญญัติที่กำหนดแนวทางเรื่องนี้ไว้อย่างชัดแจ้ง ฉะนั้น การที่รัฐบาลออกมาแสดงเจตนารมณ์ อาจจะเป็นในเชิงยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เกิดโรงเรียนร่วมอย่างเป็นรูปธรรม ให้หลักประกันในเรื่องการจัดสรรทรัพยากร โดยเฉพาะในเรื่องงบประมาณอย่างชัดเจน
นายมณเฑียร กล่าวอีกว่า การกำหนดยุทธศาสตร์โรงเรียนร่วมจังหวัดละ 1 แห่ง น้อยเกินไป โดยยังไม่ได้มีการพูดถึงปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น การปฏิรูปตำราที่ไม่สามารถเข้าถึงคนพิการได้ทุกกลุ่ม สภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่ไม่เอื้อต่อคนพิการ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติในการเรียนรู้ของคนพิการก็มีจำนวนจำกัด ซึ่งรัฐบาลจะต้องตระหนักในเรื่องเหล่านี้ด้วย