- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ดร.นิพนธ์ ทายอนาคต ไทยเจอวิกฤติขาดแคลนเกษตรกรรุ่นใหม่
ดร.นิพนธ์ ทายอนาคต ไทยเจอวิกฤติขาดแคลนเกษตรกรรุ่นใหม่
อาจต้องแทนได้ด้วยการจ้างแรงงานต่างชาติ ประธานทีดีอาร์ไอ ยันวิกฤติภาคการเกษตรไทยวันนี้ เจอทั้งปัญหาคนหนุ่มสาวทิ้งไร่นา ที่ดินรกร้างมาก ต้นทุนการผลิตสูง และสภาพภูมิอากาศเปลี่ยน ส่งผลกระทบต่อผลผลิต
วันที่ 13 มกราคม รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวในงาน สัมมนา“ฝ่าวิกฤติภาคเกษตรไทย:มุมมองเชิงนโยบาย” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ว่า วิกฤติภาคการเกษตรไทย ที่สำคัญคือการที่คนหนุ่มสาวทิ้งภาคเกษตร มีที่ดินรกร้างจำนวนมาก ปัญหากฎหมายการเช่าที่ดิน ต้นทุนการผลิตสูง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงซึ่งมีผลกระทบต่อผลผลิต เห็นชัด โดยเฉพาะข้าวที่ปลูกในพื้นที่ชลประทานจะแย่ลงชัดเจน รวมทั้งนโยบายรัฐบาลทั่วโลกที่มักจำกัดการส่งออก เมื่อมีปัญหาด้านคุณภาพ สร้างความแปรปรวนในสินค้าเกษตร
กรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า ในอนาคตราคาสินค้าเกษตรจะสูงและมีโอกาสในตลาดโลกมากขึ้น โดยเฉพาะพืชพลังงานในฐานะผู้ส่งออกถือว่า ดี แต่ผู้บริโภคจะซื้อแพง และส่งผลกระทบกับคนจนโดยตรง รวมทั้งความต้องการอาหารสะอาด ประเภทอาหารอินทรีย์หรืออาหารที่เป็นยา จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น
“ คนเมืองมีอิทธิพลมากในการกำหนดนโยบาย เช่น การชั่งไข่ขาย หรือประกันรายได้ต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นนโยบายระยะสั้น วันนี้ต้องพูดถึงระยะยาวเพื่อรับมือวิกฤติ ทั้งปัญหาการขาดแคลนเกษตรกรรุ่นใหม่ อาจทดแทนได้ด้วยการจ้างแรงงานต่างชาติ, ปัญหาต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำ และโรคระบาด อาจต้องเน้นงานวิจัยจัดการลุ่มน้ำสาขาย่อยโดยชุมชน พัฒนาพันธุ์ต้านทานโรค ปัจจุบันมีการจัดสรรงบประมาณตรงนี้น้อยมาก”
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงนโยบายรัฐมุ่งไปที่การพัฒนาภาคการผลิต แม้จะไม่เป็นปัญหา แต้ถ้าใช้นโยบายราคามาแก้ปัญหาเรื่อยๆ จะแย่แน่นอน นอกจากนี้รัฐต้องเลือกว่าจะให้ภาคเกษตรผูกขาดโดยไม่กี่บริษัทใหญ่หรือให้ ความสำคัญกับเกษตรกรรายย่อยทั่วประเทศ รวมถึงทิศทางนโยบายด้านพืชหลัก ต้องชัดเจนว่า จะเน้นการส่งออกหรืออาหารปลอดภัย ในประเทศ
ขณะที่ศ.ดร.กำพล อดุลย์วิทย์ นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ภาคเกษตรไทยเผชิญกับความไม่แน่นอน เพราะความเปราะบางของเศรษฐกิจภายในที่ต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจภายนอกสูงขึ้นโดยเฉพาะความอ่อนไหวด้านนโยบายการเกษตร เช่น โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร โครงการประกันรายได้ รวมถึงมาตรการอื่นๆเพื่อกระจายผลิตผลทางการเกษตร เป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ยังไม่มีนโยบายที่สร้างความมั่นคงทางรายได้และสวัสดิการระยะยาวอย่างชัดเจน
ส่วนรศ.ดร.ปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เครื่องจักรได้เข้ามาเป็นตัวหลักในการผลิตแทนแรงงาน ที่นับวันยิ่งน้อยลง ที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีการพัฒนาพันธุ์ใหม่ที่ไม่ผูกขาดมากขึ้น ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนต่ำลง นอกจากนี้ยังเสนอให้พัฒนาคนรุ่นใหม่เป็นผู้ประกอบการเกษตรเพื่อแก้ปัญหาขาด แคลนคน รวมทั้งเสนอให้ชุมชนรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์