- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- แผ่นดินไหวไม่ช้า-เร็วต้องเกิด สกว.แพร่งานวิจัย อาคารต้านแผ่นดินไหว
แผ่นดินไหวไม่ช้า-เร็วต้องเกิด สกว.แพร่งานวิจัย อาคารต้านแผ่นดินไหว
1 ใน 12 ผลงานวิจัยเด่น สกว. ประจำปี 53 “ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย” เผยผลงานยันนำไปใช้ได้จริงไม่ได้อยู่บนหิ้ง ชี้ตึกสูงกทม. ปริมณฑลเสี่ยงรับผลกระทบแผ่นดินไหว หวั่นสภาพดินอ่อนล้อมรอบทวีความรุนแรง เตือนรัฐกันไว้ดีกว่าแก้ไม่ทัน
วันที่ 21 มกราคม รศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หัวหน้าโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย ระยะที่ 2 นำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ เรื่อง “การประเมินระดับความต้านทานแผ่นดินไหวของอาคารในประเทศไทยและการปรับปรุง อาคารให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวในระดับที่เหมาะสม” ซึ่งเป็น 1 ใน 12 ผลงานวิจัยเด่นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ประจำปี 2553 ณ ห้องประชุม 1 สกว. ชั้น 14 อาคาร SM Tower ถนนพหลโยธิน
รศ.ดร.เป็นหนึ่ง กล่าวถึงโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศ ว่า ได้เริ่มมาทำงานมาตั้งแต่ก่อนเกิดสึนามิ 2 – 3 ปี ซึ่งในระยะที่ 1 เน้นไปในด้านการสร้างความเข้าใจเรื่องแผ่นดินไหว โดยแบ่งเป็นโครงการย่อยอีก 5 โครงการ ซึ่งจะศึกษาข้อมูล เช่น การสำรวจรอยเลื่อนที่มีผลกระทบต่อการเกิดแผ่นดินไหว, สร้างฐานข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหว โดยบันทึกจากเครือข่ายสถานีวัด และการประเมินระดับความต้านทานแผ่นดินไหวของอาคารในกรุงเทพ และศึกษาหาวิธีปรับปรุงอาคารที่อ่อนแอให้มีความต้านทานแผ่นดินไหว ฯลฯ
“หลายโครงการที่นำเสนอไปนั้นได้นำไปสู่การปรับปรุงกฎหมาย กฎกระทวงที่ออกมาภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2550 โดยกำหนดให้ออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดินไหวจากเดิมแค่ภาคเหนือและตะวันตก เป็นครอบคลุมกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร” หัวหน้าโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย ระยะที่ 2 กล่าว และว่า นอกจากผลวิจัยจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายบางส่วนแล้ว ยังสร้างมาตรฐานประกอบการออกแบบอาคาร เพื่อต้านทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย (มยผ. 1301-50) สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผลงานวิจัยนั้นไม่ได้อยู่แต่บนหิ้ง แต่นำไปปฏิบัติได้จริง
หัวหน้าโครงการฯ กล่าวอีกว่า การศึกษาวิจัยได้พบเห็นความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติ เนื่องจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในระยะไกลในเขตกรุงเทพมหานคร และเขตปริมณฑล โดยภาพรวมอยู่ในกลุ่มอาคารสูง 20 – 30 ชั้นขึ้นไป โดยมีลักษณะอาการโยกตัวอย่างช้าๆ ในขณะที่ภาคเหนือและตะวันตก จะมีอัตราเสี่ยงสูงขึ้นที่อาคารขนาดเล็ก และกลาง ซึ่งการออกแบบไม่ได้รองรับการเกิดภัยพิบัติ ทั้งนี้กฎหมายก็มีการบังคับใช้กับอาคารที่มีความสูง 15 เมตรขึ้นไปเพียงอย่างเดียว จึงทำให้อาคารดังกล่าวมีจุดอ่อนที่จะเกิดผลกระทบมาก ขณะเดียวกันกับพื้นที่บริเวณเขื่อน
“แผ่นดินไหวไม่ช้าหรือเร็วจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่ แต่เหตุการณ์ที่ใช้เวลาหลายร้อยปีจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งอย่างสึนามินั้น เราก็พบเห็นกันมาแล้ว ซึ่งเรามีมาตรการความปลอดภัยรับมือเรื่องเหล่านี้”
รศ.ดร.เป็นหนึ่ง กล่าวถึงการวิจัยในระยะที่ 2 ว่า เป็นการศึกษาด้านการประเมินระดับความต้านทานแผ่นดินไหวของอาคาร โดยในต่างประเทศนิยมแก้ปัญหาด้วยการพอกเสาให้ใหญ่ ดามด้วยเหล็ก หรือเสริมด้วยกำแพงคอนกรีต ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จึงคิดหาวิธีที่ลงทุนน้อยแต่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเรียกว่า Buckling Restraint Braces (BRB) อันเป็นวิธีการที่สามารถเพิ่มกำลังความสามารถในการสลายพลังงานโดยรวมได้สูง และกำลังเป็นที่นิยมในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงการเสริมแผ่นโพลีเมอร์เสริมเส้นใยคาร์บอนที่จะทำให้เสาสามารถโยกตัวได้เพิ่มขึ้น 3 – 4 เท่า
“นอกเหนือการปรับปรุงอาคาร เรายังสนใจเกี่ยวกับผลธรณีวิทยาต่อความเสี่ยงแผ่นดินไหว ซึ่งไทยมีดินอ่อนสูงมาก โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร” รศ.ดร.เป็นหนึ่ง กล่าว และว่า กรุงเทพมหานครอยู่ในแอ่งดินอ่อนขนาดใหญ่ ซึ่งมีผลทำให้เพิ่มความรุนแรงให้กับการเกิดแผ่นดินไหวได้มากถึง 3 เท่าตัว ซึ่งทีมวิจัยสามารถระบุได้ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงจุดใดบ้าง อันเป็นงานวิจัยที่สำเร็จตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแต่ยังไม่ได้รับความสนใจจากหน่วยงานต่างๆ มากสักเท่าไหร่ ในขณะเดียวกันทีมวิจัยเตรียมเจาะลึกรายละเอียดพัฒนาแผนที่ความเสี่ยงที่สามารถระบุพื้นที่อันตรายในเมืองขนาดใหญ่ได้ คาดว่าจะนำร่องที่จังหวัดเชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร และกาญจนบุรี