- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นักวิชาการเร่งรัฐแก้กลไก ‘กินหัวคิว’ เชื่อได้ผลกว่าขายไข่ชั่งกิโล
นักวิชาการเร่งรัฐแก้กลไก ‘กินหัวคิว’ เชื่อได้ผลกว่าขายไข่ชั่งกิโล
รศ.ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา ชี้การเพิ่มทางเลือกผู้บริโภคซื้อไข่แบบชั่งกิโล ไม่ควรมองเฉพาะแค่ ราคา แต่ต้องลงลึกถึงกระบวนการคุมแม่ไก่ คุมตลาดไข่ ที่มีการผูกขาดตั้งแต่ต้นทาง
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดอบรมหลักสูตรการสื่อสารมวลชนระดับต้น (กสต.) รุ่นที่ 2 ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยมี รศ.ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรยายหัวข้อ “เศรษฐศาสตร์ภาครัฐ กรณีศึกษาโครงการไทยเข้มแข็ง”
รศ.ดร.สกนธ์ กล่าวถึงโครงการไทยเข้มแข็งเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อเพิ่มการลงทุนภายในประเทศ ให้เกิดการแข่งขัน ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและขยายตัว โดยที่ผ่านมาพบว่า โครงการมุ่งเน้นเรื่องการขนส่ง การจัดการน้ำ พลังงานทดแทน การศึกษา สาธารณสุข ฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการ ‘ล้างท่อ’ โครงการที่ส่วนราชการไม่สามารถของบได้
“ไทยเข้มแข็งมองเฉพาะเรื่องที่ทำได้เร็ว จึงไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่เม็ดเงินจากโครงการก็เข้ามาช่วยเสริมขนาดการลงทุน โดยเฉพาะในปี 2554 ที่การลงทุนของรัฐบาลต่อสัดส่วนงบประมาณมีมูลค่าเพียงร้อย 3.3 ของ GDP ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก เนื่องจากการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน เป็นตัวชี้ทิศทางการพัฒนาและกำกับเศรษฐกิจ”
รศ.ดร.สกนธ์ กล่าวต่อว่า ในปี 2553 เกิดปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ ทำให้รัฐบาลต้องทุ่มงบจำนวนมาก เพื่อฟื้นฟูความเสียหายจากภาวะติดลบให้กลับสู่ปกติ แต่เนื่องจากงบประมาณในปี 53 ไม่ได้ถูกจัดสรรไว้เพื่อแก้ปัญหาภัยพิบัติ จึงจำเป็นต้องดึงงบปี 2554 มาใช้ก่อน และจัดตั้งงบปี 2555 มาใช้คืน เท่ากับว่าในปี 2555 จะยังไม่มีโครงของใหม่ๆ เกิดขึ้น เพราะงบลงทุนของประเทศช้าไปถึง 2 ปี ส่วนงบไทยเข้มแข้ง ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีการเบิกจ่ายจริงหรือไม่ เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในปีนี้ ฉะนั้น เมื่อการเมืองไม่นิ่ง การลงทุน การลดต้นทุนโลจิสติกส์ และการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศก็จะถูกบดบัง ไม่มีใครดูแล
สำหรับการใช้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุน รศ.ดร.สกนธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไทยพบปัญหาเรื่องความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเท่าเทียม ซึ่งรัฐจะต้องให้การดูแล ทั้งเรื่องการใช้งบประมาณและทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพ รวมทั้งกระจายประโยชน์ให้แก่คนที่ไม่มีโอกาส และคนระดับล่างอย่างเท่าเทียม ประกอบกับ รัฐจะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศให้ชัดเจน อย่างเช่น ประเทศมาเลเซียประกาศว่าปี 2020 จะเปลี่ยนประเทศให้เป็นประเทศไอที เป็นต้น เพื่อให้ประเทศมีทิศทางการพัฒนา อีกทั้ง ไทยเข็มแข้งทำแต่โครงการจิ๊บจ๊อย หวังเรื่องของการใช้เงินเร็ว โดยไม่มีการลงทุนในโครงการใหญ่ๆ ทำให้โครงสร้างพื้นฐานของประเทศไม่ได้ถูกยกระดับขึ้นมา
ส่วนนโยบายประชาวิวัฒน์ รศ.ดร.สกนธ์ กล่าวว่า อาจส่งผลต่อความยั่งยืนและความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว เพราะการที่รัฐบาลมุ่งอัดฉีดเม็ดเงินไปในทิศทางนี้ ทำให้เม็ดเงินลงทุนถูกเบียด ขณะเดียวกัน คุณภาพและงบประมาณยังไม่สอดคล้อง เช่น การศึกษาใช้งบจำนวนมาก แต่คุณภาพกลับไม่ดี จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าประชาวิวัฒน์จะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นหรือไม่
“มาตรการเรื่องไข่ชั่งกิโล ไม่ควรมองในประเด็นที่ว่า สุดท้ายไข่จะมีราคาเท่าไหร่ แต่ควรมองที่กระบวนการไข่ การคุมแม่ไก่ คุมตลาดไข่ ซึ่งผูกขาดตั้งแต่ต้นทาง จึงต้องแก้ไข ‘กลไกหัวคิว’ เหล่านี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลจะมีวิธีการจูงใจอย่างไรให้แท็กซี่ หาบเร่แผงลอง วินมอเตอร์ไซด์ กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์เข้ามาร่วมรับภาระอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มาตรการสามารถเลี้ยงตนเองได้ เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล” รศ.ดร.สกนธ์ กล่าว และว่า การมองนโยบายประชาวิวัฒน์ ไม่ควรมุ่งเน้นเรื่องเม็ดเงินลงทุน แต่ต้องมองลึกไปที่วิธีการจัดการ เพราะประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องโอกาสที่กลุ่มคนควรจะได้รับ