- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ภาค ปชช. แนะปฏิรูประบบราชการแนวทางเกิดยุติธรรมชุมชน
ภาค ปชช. แนะปฏิรูประบบราชการแนวทางเกิดยุติธรรมชุมชน
นักวิชาการสกว.เชื่อหากไม่เปลี่ยนทัศนคติเจ้าหน้าที่อย่าได้หวังยุติธรรมชุมชนจะเกิด พร้อมวอนภาครัฐสร้างองค์ความรู้ด้านกฏหมายท้องถิ่นเพื่อหนุนเสริมชุมชนจัดการตนเอง
วันที่ 1 มีนาคม คณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ คณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) ได้จัดการประชุมวิชาการฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การภิวัฒน์ประเทศไทย ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
ช่วงบ่ายในเวทีเสวนา “ร่วมอภิวัฒน์ประเทศไทย : ยุติธรรมชุมชนโดยชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง” นายไพสิฐ พาณิชย์กุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ในอดีตความยุติธรรมเป็นเรื่องที่รัฐจะเข้ามาจัดการทุกกระบวนการให้กับชาวบ้าน ขณะเดียวกันสังคมปัจจุบันที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลให้ความยุติธรรมที่แท้จริงนั้นไม่สามารถเข้าถึงคนในระดับชุมชนได้ ซึ่งสามารถแก้ปัญหาเริ่มแรกโดยให้ข้อมูลความรู้พื้นฐานด้านกฏหมายแก่ชาวบ้าน พร้อมทั้งทำให้คนในชุมชนเข้าใจตรงกันว่า ความยุติธรรมเป็นเรื่องของส่วนรวม ไม่ใช่เรื่องของภาครัฐหรือของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
“ในเบื้องต้น อาจนำเสนอผ่านงานวิชาการหรือจัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้ สร้างประสบการณ์ร่วมกันของคนในชุมชนว่า หากเกิดปัญหาขึ้นจะหาทางออกได้อย่างไร พร้อมกันนั้นต้องให้หน่วยงานภาครัฐ ในระดับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการดังกล่าว เพื่อสร้างแรงหนุนเสริมจากภาคราชการ”
นายไพสิฐ กล่าวถึงหัวใจสำคัญในการสร้างยุติธรรมชุมชนอยู่ที่ภาครัฐ โดยเฉพาะการปฏิรูประบบราชการ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้ตรงกันกับชาวบ้าน ขณะที่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นหน้าที่ของศาล อัยการ และตำรวจ ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้น โดยในระดับนโยบายอาจใช้วิธีนำงบประมาณประจำปีมาเป็นตัวชี้วัดเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง เช่น ท้องถิ่นใดมีเรื่องพิพาทขัดแย้งน้อยจะได้รับงบประมาณสนับสนุนมากขึ้น เป็นต้น
“หากสังคมต้องการที่จะลุกขึ้นมาอภิวัฒน์ประเทศไทยนั้น นอกจากการสร้างกระบวนการยุติธรรมชุมชนให้สมบูรณ์แล้ว ต้องปฏิรูปกฏหมายควบคู่ตามไปด้วย เพราะประเทศไทยใช้กฏหมายอาญามาร้อยกว่าปีแต่ไม่เคยปรับเปลี่ยนให้เท่าทันยุคสมัย อย่างเช่น การลักชิงวิ่งราวบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีโทษทางอาญาเสมอไป ซึ่งตรงนี้สังคมอาจต้องให้ความสนใจให้มากขึ้น”
ขณะที่นายมานพ ช่วยอินทร์ นักวิชาการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จังหวัดตรัง กล่าวว่า ภายในจังหวัดของตนได้เริ่มทำยุติธรรมชุมชนมาตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งหลายต่อหลายครั้งพบว่า ปัญหาติดอยู่กับข้อกฏหมาย และการตีความของอัยการ ซึ่งชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ ในอดีตจึงเกิดกระบวนการไกล่เกลี่ยโดยผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านขึ้น เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปจึงได้นำหลักคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ ทำให้เกิดศูนย์ยุติธรรมชุมชน ซึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้างความรู้สึกการเป็นเจ้าของให้แก่ชุมชน
“จากประสบการณ์พบว่า ปัญหาที่ขัดแย้งกันมากที่สุดคือ เรื่องทับซ้อนเขตแดนที่ทำกินระหว่างบุคคล ในหลายต่อหลายครั้งที่กระบวนการยุติธรรมชุมชนต้องเข้าไปไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติดังกล่าว ซึ่งเมื่อแก้ปัญหาเหล่านี้บ่อยครั้งขึ้นก็จะนำไปสู่ออกกฏกติการ่วมกัน ทำให้ปัญหาความขัดแย้งหายไป”
ด้านอุปสรรคในการสร้างยุติธรรมชุมชนนั้น นายมานพ กล่าวว่าอยู่ที่ระบบราชการและข้อกฏหมาย ซึ่งบางครั้งตัวบทกฏหมายได้ถูกกำหนดมาให้ช่วยเหลือชาวบ้าน แต่เนื้อแท้กลายเป็นช่องทางการหาประโยชน์ให้แก่เจ้าหน้าที่ เช่น ถูกจับกุมคุมขังต้องใช้เงินประกันตัวหลายแสนบาท แต่สามารถซื้อกรมทัณฑ์ประกันเพียงไม่กี่หมื่นบาทก็สามารถหลุดพ้นคดีได้ ซึ่งศูนย์บริการเหล่านี้ก็อยู่ที่ศาลยุติธรรมเพียงที่เดียว
“ข้อเท็จจริงประการหนึ่งคือเมื่อเกิดคดีความข้อขัดแย้งขึ้น อัยการ ศาล ตำรวจ มักตรงเข้าไปหาจำเลย เพื่อรีดไถ่เงินใต้โต๊ะในการช่วยให้พ้นคดีมากเสียกว่าการสืบเสาะหาข้อเท็จจริงในปัญหาเหล่านั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากไม่รีบเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าหน้าที่ราชการ ก็อย่าได้หวังว่ายุติธรรมชุมชนจะเกิดขึ้น”
ส่วนนางวิภา เฟื้องฟูดำรงชัย ศูนย์ยุติธรรมชุมชน จังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า การสร้างยุติธรรมชุมชนให้เข้มแข็ง ต้องเริ่มจากการทำให้ชุมชนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ ด้วยการนำบุคลากรในพื้นที่เข้ามาทำงานร่วมกันในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงการเปลี่ยนทัศนคติภายใต้หลักคิด “ถูกใจ ถูกต้อง เป็นธรรม” ซึ่งต้องเป็นไปในแนวทางการสร้างความพึงพอใจให้แก่คู่กรณีซึ่งพร้อมทั้งอยู่บนพื้นฐานกฏหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศไทย ทั้งนี้กระบวนการยุติธรรมชุมนจะไม่เข้ามาทำลายกระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่เดิม แต่เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งให้กับสังคม ในการหาทางออกของปัญหา ซึ่งไม่ต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายมากมายหลายขั้นตอนเหมือนในชั้นศาล
“อย่างกรณีปัญหาคดีความการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่ไม่ใช่ภรรยาของตน และอายุน้อยกว่า 15 ปี ซึ่งเป็นคดีทางอาญาไม่สามารถยอมความได้ แต่ยุติธรรมชุมชนจะเข้าไปไกล่เกลี่ย เรียกคู่ขัดแย้งมาปรึกษาหาทางออกร่วมกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งพากระบวนการในชั้นศาลเสมอไป”