- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- คสป.พร้อมจัดยิ่งใหญ่ "สมัชชาปฏิรูประดับชาติ" 24 – 26 มี.ค.นี้
คสป.พร้อมจัดยิ่งใหญ่ "สมัชชาปฏิรูประดับชาติ" 24 – 26 มี.ค.นี้
ประธาน คสป.ดันสมัชชาเป็นสุดยอดการประชุมทางสังคม เพื่อแก้ทุกข์ชาติ พร้อมหาฉันทมติ 4 เรื่อง ปฏิรูปการบริหารประเทศ-จัดการทรัพยากร-สังคมที่คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน-พลังศิลปะเยียวยาแผ่นดิน
วันที่ 21 มีนาคม กรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) จัดแถลงข่าวงาน “สมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1 : สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” ณ เรือนธารกำนัล บ้านพิษณุโลก โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป และคณะกรรมการการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป และประธานเครือข่ายผู้ใช้แรงงานเพื่อการปฏิรูป ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ คณะกรรมการปฏิรูป และประธานเครือข่ายคนพิการเพื่อการปฏิรูป นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป และประธานเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า ในวันที่ 24 – 26 มีนาคม 2554 จะมีการจัดประชุมสมัชชาปฏิรูประดับชาติครั้งที่ 1 ที่ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีผู้แทนจาก 234 กลุ่ม 1,145 เครือข่ายเข้าร่วม ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดการประชุมทางสังคม (Social Summit) ซึ่งประกอบไปด้วยภาคประชาชน ธุรกิจเอกชน ฯลฯ เพื่อหาฉันทมติในนโยบายที่สำคัญๆ ในการแก้ทุกข์ของชาติ
“ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาไม่มีรัฐบาลใดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จะเข้าไปแก้ไขได้ เพราะปัญหาอยู่ที่ระบบ และโครงสร้างที่ฝังลึกในสังคม เป็นโครงสร้างที่คนส่วนน้อยเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ ซึ่งกระบวนการนี้ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของของกระบวนการแก้โจทย์ของชาติ เพราะปัญหาของชาติไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า กระบวนการสมัชชาปฏิรูปเป็นกระบวนการอริยสัจ 4 ทางสังคม ทำให้ทุกคนรู้ถึงทุกข์ของสังคม โดยอาศัยเครื่องมือจากทุกภาคส่วน เพื่อหาสาเหตุแห่งทุกข์ที่จะลงลึกถึงโครงสร้าง และระบบ ในท้ายที่สุดจะนำไปสู่การระงับทุกข์ และหาแนวทางการดับทุกข์ได้ ฉะนั้นกระบวนการสมัชชาปฏิรูปไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะการจัดประชุม แต่ต้องหาวิธีทางดับทุกข์ให้แก่ประชาชน ซึ่งเริ่มมานานก่อนที่รัฐบาลจะแต่งตั้ง และจะทำต่อไปอีก ในขณะที่การทำงานภาควิชาการก็กำลังเข้มข้นเช่นเดียวกัน
“ร่างมติที่จะนำเสนอในครั้งนี้มี 4 เรื่อง คือ 1.การปฏิรูปการบริหารประเทศ 2.ปฏิรูปการจัดการทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม 3.ปฏิรูปให้เป็นสังคมที่คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน และ4.ปฏิรูปโดยใช้พลังศิลปะในการเยียวยาและพัฒนาสังคมสร้างสรรค์พลังทั้ง แผ่นดิน”
ปธ.สมัชชาปฏิรูป กล่าวต่อไปว่า 4 เรื่องที่ต้องลงมติในที่ประชุมนั้น ประกอบด้วยระเบียบวาระในการพิจารณาทั้งหมด 8 ประเด็น ได้แก่ 1.การปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน 2.การปฏิรูปโครงสร้างการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 3.การคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนกรณีที่ดินและทรัพยากร
“4.การปฏิรูประบบประกันสังคม เพื่อความเป็นธรรม 5.การสร้างระบบหลักประกันในการดำรงชีพ เพื่อการชราภาพและระบบสังคมสุขภาวะ ที่มีความเสมอภาคและยั่งยืน 6.การสร้างสังคมที่คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน 7.การปฏิรูประบบการกระจายอำนาจ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และ 8.ศิลปะกับการสร้างสรรค์และเยียวยาสังคม”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อไปว่า สังคมไทยไม่มีวัตถุประสงค์ร่วมกันมาเนิ่นนาน ที่ผ่านมามีเพียงวัตถุประสงค์ส่วนตัว ส่วนกลุ่ม องค์กร แบ่งแยกบั่นทอนกำลังกันและกัน หากรวมตัวกันแล้วจะทรงพลังประดุจแสงเลเซอร์ โดย คสป. เป็นกระบวนการที่จูนคลื่น เพื่อให้ประชาชนมีมติออกมาร่วมกัน เพราะเชื่อว่าต่อให้ประเด็นที่นำเสนอจะยิ่งใหญ่แค่ไหน หากขาดแคลนกระบวนการที่ทรงพลัง จะไม่ประสบความสำเร็จ
“คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจะผนึกกำลัง 4 อย่างเข้าด้วยกันคือ พลังทางศีลธรรมเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นคนอย่างเท่าเทียม พลังเมตตาธรรมที่มองทุกคนเป็นพี่น้องกัน ไม่แบ่งแยกกลุ่ม แยกสี หรือแยกรุ่น พลังทางสังคมที่ต้องอาศัยข้อมูลงานวิชาการ รวมถึงการติดอาวุธทางปัญญาให้กับประชาชน ทั้งนี้อาจเพิ่มอีกกระบวนการเข้าไปด้วยคือ สันติวิธี”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า เมื่อได้มติในที่ประชุมเป็นที่เรียบร้อย คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจะนำข้อเสนอภาคประชาชนส่งต่อไปหน่วยงาน องค์กรหลายฝ่าย ซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็นหนึ่งในส่วนนั้น ซึ่งจะเร่งส่งทันที่ให้ทันก่อนยุบสภา ขณะเดียวกันหลังจากการเลือกตั้งใหม่ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ตาม คสป. จะยื่นข้อเสนอใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน
นางเรวดี กล่าวว่า ปฏิรูปที่ดินเป็นปัญหาที่ประชาชนขัดแย้งกับภาครัฐเป็นเวลานาน ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญขั้นพื้นฐานที่ คสป. ต้องเร่งขับเคลื่อนด้วยวิธีการดังนี้ แก้ไขปัญหาเรื่องงที่ดิน สร้างหลักประกัน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น ด้านแนวการบริหารถูกอำนาจรัฐผูกขาด ซึ่งไม่เคยนำไปสู่มาตรการในทางปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ดังนั้นมาตรการต้องสร้างความเข้าใจแนวคิดในการบริหารจัดการที่ดิน เพื่อรับรองสิทธิชุมชนที่จะเกิดขึ้น
“การจัดสรรความเป็นเจ้าของที่ดิน ต้องแก้ไขปัญหาตามการกระจุกตัวของผู้ถือครอง เบื้องต้นการบริหารจัดการจำเป็นต้องปฏิรูประบบภาษี และเอาที่ดินที่ไม่ใช้ประโยชน์ในตอนนี้ มาให้แก่เกษตรกรผู้ที่ไม่มีพื้นที่ทำกิน ขณะเดียวกันจำเป็นต้องสร้างธนาคารที่ดิน ให้ชุมชนจัดการด้วยตนเองควบคู่ไปด้วย”
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวว่า สังคมไทยมีภาวะเป็นสังคมอุตสาหกรรมเต็มตัวไปแล้ว หากมองจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ พบว่า ในปัจจุบันจีดีพีจากภาคเกษตรมีไม่ถึงร้อยละ 10 ลงลึกไปอีก คนที่ทำงานอยู่ในภาคเกษตรมีจำนวน 15 ล้านคนเท่านั้น โดยแบ่งเป็นเกษตรกร 12 ล้านคน ลูกจ้างภาคเกษตรอีก 3 ล้านคน ขณะที่นอกภาคเกษตรมีประชากรทำงานอยู่ 23 ล้านคน จัดเป็นมนุษย์ค่าจ้าง 14 ล้านคน ซึ่งชัดเจนแล้วได้ว่ามากกว่าเกษตรกร
“สังคมอุตสาหกรรมมีทั้งด้านบวกและลบ ซึ่งในด้านลบนั้นสังคมอุตสาหกรรมทำให้สังคมชนบทหลุดหลวม แยกพ่อ แยกแม่ แยกลูก แยกวัย ภาวะแบบนี้ นำไปสู่ปัญหาเรื่องการเกื้อกูลระหว่างชุมชน ระหว่างครอบครัว ส่งผลให้การกินดีอยู่ดีหลุดหลวมตามไปด้วย ฉะนั้น จำเป็นต้องมีระบบสวัสดิการที่เรียกว่าประกันสังคมเข้ามา ซึ่งทางเครือข่ายฯ ได้บรรจุข้อเสนอไว้ในระเบียบวาระ 2 เรื่องคือ การปฏิรูประบบสังคม เพื่อความเป็นธรรม และการสร้างระบบหลักประกันในการดำรงชีพเพื่อการชราภาพและระบบสังคมสุขภาวะ ที่มีความเสมอภาคและยั่งยืน”
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวถึงการปฏิรูประบบสังคมเพื่อความเป็นธรรมว่า มี 4 เรื่องคือ 1.ด้าน ความครอบคลุม ให้ระบบประกันสังคมครอบคุลมทุกคนที่ต้องได้รับการคุ้มครองแรงงาน 2.ด้านความเสมอภาค แรงงานที่มีรายได้น้อยต้องจ่ายประกันสังคม ซึ่งแตกต่างจากคนอีกกลุ่มที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ได้รับสิทธิในการใช้ บัตรทองรักษาโรค 3.ด้านความโปร่งใส ให้สำนักงานประกันสังคมเป็นอิสระ และมีระบบ กลไกการสรรหาคณะกรรมการการประกันสังคมที่ชัดเจน โปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน 4.ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย แรงงานไม่มีส่วนร่วมที่แท้จริงในการเข้ามาดูแลกองทุน
ปธ.เครือข่ายผู้ใช้แรงงานฯ กล่าวด้วยว่า ธงของการปฏิรูประบบสังคมอยู่ที่การจัดตั้งกองทุนที่เป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้ระบบราชการหรือการเมืองมากเกินไป อีกทั้งต้องเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนมีสิทธิที่จะรับรู้ถึงการดำเนินการและ การตรวจสอบกองทุนประกันสังคม
ศ.วิริยะ กล่าวว่า เพื่อเพิ่มพลังให้กับประชาชน สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำให้สังคม ทางเครือข่ายคนพิการฯ ได้มีการเสนอเรื่องการสร้างสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน ซึ่ง จะมีกลไกในการขับเคลื่อนมีด้วยกัน 3 ประเด็นคือ 1.การสร้างความเสมอภาค และขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ซึ่งในมิตินี้จะต้องมองทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ตกหล่นใคร 2.ส่งเสริมให้มีสภาพแวดล้อมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ เพราะที่ผ่านมากลุ่มประชาชนที่มีความเปราะบาง อาทิ เด็ก สตรี คนชรา คนพิการ ยังไม่ได้รับความเสมอภาคเท่าที่ควร
“3.ปฏิรูประบบการคลังเพื่อสังคม โดยเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อปรับสัดส่วนสลากใหม่ จาการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 50 ล้านฉบับ ลดลงเหลือเพียง 14 ล้านฉบับ และมีการไปเพิ่มสัดส่วนสลากบำรุงการกุศลจากเดิมจำนวน 14 ล้านฉบับ ให้เพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านฉบับ พร้อมกันนี้ หลังจากปรับสัดส่วนดังกล่าว จะต้องมีการจัดสรรรายได้จากการจำหน่ายสลากเข้ากองทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ประชากรกลุ่มเปราะบาง”
ศ.วิริยะ กล่าวต่อว่า รายได้ของกิจการสลากเกิดจากความเชื่อของบุคคลซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจน ฉะนั้น รัฐบาลไม่ควรนำเงินของคนจนเข้าคลัง แต่ควรส่งกลับไปพัฒนาสังคม สร้างเครือข่ายภาพประชาชนให้เข้มแข้ง รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมใหม่ที่จะใช้ในการแก้ปัญหาสังคม โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนี้ จะต้องมีการจัดตั้งกองทุนที่มีงบประมาณจากสลากบำรุงการกุศล โดยคณะกรรมการที่จะเข้ามาบริหารกองทุนจะต้องดำเนินงานอย่างอิสระ สามารถนำงบประมาณไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องมีหน่วยงานเข้ามาทำหน้าที่ดำเนินการติดตามประเมินผลอีกด้วย
นายเนาวรัตน์ กล่าวว่า ปัญหาทั้งหลายของประเทศจะแก้ไม่ได้ หากขาดกระบวนการสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชน ขณะที่กระบวนการดังกล่าวก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน หากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างด้วยศิลปะ วัฒนธรรม เนื่องจากเป้าหมายของงานศิลปะที่แท้จริงคือ การสร้างจิตสำนึก สุนทรี ตลอดจนสร้างจิตสำนึกสาธารณะให้กับประชาชน