- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- จากเซนไดถึงไทยแลนด์ ดร.เสรี ศุภราทิตย์ กางข้อมูลให้เห็นความต่าง
จากเซนไดถึงไทยแลนด์ ดร.เสรี ศุภราทิตย์ กางข้อมูลให้เห็นความต่าง
ผอ.ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมฯ ระบุ ขณะนี้ญี่ปุ่นอยู่ในช่วงประเมินหาสาเหตุคนตาย หวังนำข้อมูลมาปรับปรุง ระบบเตือนภัย การอพยพหนีภัย หรือไปเพิ่มกฎlสร้างอาคารให้เข้มงวดขึ้น ยันต่างจากไทย ที่เหมารวมหมด ตายจากคลื่นสึนามิ
วันที่ 24 มีนาคม คณะกรรมการเครือข่ายผู้เสียโอกาส คนจนเมือง และกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อการปฏิรูป ร่วมกับเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) จัดเวทีเสวนาหัวข้อ จากเซนไดถึงไทยแลนด์:เมื่อภัยพิบัติธรรมชาติและภัยพิบัติจากน้ำมือมนุษย์...กลายเป็นปัญหาใกล้ตัว ณ ห้องปฏิรูป 5 ในงานสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยระดับชาติ ครั้งที่ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร กล่าวถึงเหตุแผ่นดินไหว จนเกิดสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ข่าวซึ่งเป็นข้อเท็จจริงบางอย่างยังไม่ออกมา เพราะคนญี่ปุ่นเป็นคนที่ไม่แสดงออก เช่น ในเรื่องอาหารการกิน ไม่มี มีเงินมีทองแต่หาซื้อหาอาหารไม่ได้ หรือจำกัดการเติมน้ำมันคนละ 20 ลิตร เป็นต้น สิ่งที่คนญี่ปุ่นต้องการ คือ เรื่องพลังงานกับอาหาร ดังนั้น การบริจาคในรูปตัวเงินจึงไม่มีประโยชน์ เนื่องจากการเกิดภัยพิบัติครั้งนี้ทำให้ญี่ปุ่นเสียหายอย่างหนัก สาธารณูปโภคทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ท่าเรือถูกทำลาย สินค้าที่เป็นน้ำมันขนส่งไม่ได้ พลังไฟฟ้ามีไม่เพียงพอ ต้องเปิด-ปิดบางเวลา
รศ.ดร.เสรี กล่าวเปรียบเทียบกรณีจากเซนไดถึงไทยแลนด์ โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่า ที่เซนได อาคารส่วนใหญ่ยังคงอยู่ได้จากแผ่นดินไหว ทั้งๆที่แผ่นดินไหวเกิดแรงมากถึง 9 ริกเตอร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กฎกระทรวงแผ่นดินไหวของญี่ปุ่นเข้มแข็งมาก ซึ่งเมื่อเวลาเกิดแผ่นดินคนญี่ปุ่นไม่วิ่งหนีออกมาเลย ขณะที่ประเทศไทยเพิ่งประกาศบังคับใช้กฎกระทรวงเมื่อปลายปี 2552 แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมอาคารเก่า อีกทั้งยังไม่มีอาคารต้นแบบ โดยเฉพาะอาคารของรัฐ
สำหรับความเสียหายรุนแรง ผอ.ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมฯ กล่าวว่า เกิดจากภัยขั้นที่ 2 ซึ่งเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ภัยขั้นแรกคือ อาคารพัง โดยภัยขั้นที่ 2 มีความเสียหายมากกว่า ก็คือ สึนามิ ไฟไหม้ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และภัยจากสิ่งแวดล้อม เมื่อมามองที่ประเทศไทย เกิดเกือบทั้งหมด ด้วยอาคารไม่มีการออกแบบมาให้ต้านทานแรงของแผ่นดินไหว อีกทั้งระบบโครงสร้างที่จะป้องกันสึนามิไม่มี แต่มีระบบเตือนภัยคลื่นสึนามิ ซึ่งจะต้องพัฒนาต่อไป
“ญี่ปุ่นขณะนี้อยู่ในช่วงระหว่างการประเมินหาสาเหตุการเสียชีวิต ว่า มาจากคลื่นสึนามิ แผ่นดินไหว หรือไฟไหม้ ซึ่งเหตุการณ์สึนามิ ปี2547 ในประเทศไทย มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1 หมื่นคน กลับถูกระบุว่า เกิดจากคลื่นสึนามิ นี่คือความต่าง”รศ.ดร.เสรี กล่าว และว่า การที่ญี่ปุ่นหาสาเหตุผู้เสียชีวิต หากเกิดจากอาคารถล่มลงมา ทางการก็จะได้ไปเพิ่มมาตรการ เพิ่มกฎให้เข้มงวดมากขึ้น หรือหากผู้คนเสียชีวิตจากเหตุสึนามิ ก็จะได้ไปปรับปรุงระบบเตือนภัย และระบบอพยพหนีภัย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สำคัญ
รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า หลังเกิดเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นมีประกาศห้ามผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติเข้าพื้นที่ ไม่อนุญาตให้เข้า แต่สึนามิในไทย มีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก หลายเหตุการณ์ในประเทศไทยมีการยื้อแย่ง กักตุนสินค้า จากผลสำรวจพบว่า ผู้ใกล้ชิด ผู้นำท้องถิ่นจะได้รับการบริจาคมากกว่าคนทั่วไป เปรียบเทียบกับญี่ปุ่น ไม่เคยประกาศร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ ยกเว้นกรณีนิวเคลียร์ร้องขอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ
“แม้ปี 2547 รัฐบาลทักษิณไม่ได้ร้องขอ แต่ความช่วยเหลือด้านมนุษยชนจากนานาชาติ เข้าไปในที่เกิดเหตุ หลั่งไหลเข้าสู่ชุมชน แม้ผลดีจะถึงมือชาวบ้านโดยตรง แต่ผลเสียคือรัฐบาลไม่มีฐานข้อมูล”
ผอ.ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมฯ กล่าวด้วยว่า ความเสียสละ ความกล้าหาญ ความรักต่อองค์กร และความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ ทำให้ TEPCO (Tokyo Electric Power Company) ออกมาประกาศขอโทษต่อประชาชน ซึ่งบ้านเรายังไม่ปรากฎหน่วยงานที่กระทำในลักษณะนี้ นี่คือความต่าง
“ในรอบ 80 ปี ญี่ปุ่นไม่เคยเจอแผ่นดินไหวระดับ 8 ริกเตอร์ นั่นหมายความว่า มีการคาดการณ์ผิดพลาด แม้จะรู้ล่วงหน้ามีระบบป้องกัน มีระบบเตือนภัยแล้วก็ตาม”