- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- สมัชชาชาติเปิดเวทีรับฟัง ถกประเด็น“กม.ประกันสังคม-ยุติธรรมชุมชน”
สมัชชาชาติเปิดเวทีรับฟัง ถกประเด็น“กม.ประกันสังคม-ยุติธรรมชุมชน”
ผู้ใช้แรงงานวอนรัฐชดเชยป่วยตามจริง-ลดขั้นตอนยุ่งยาก นักกฏหมายชูกระจายอำนาจยุติธรรมให้ชุมชนจัดการ แก้ข้อพิพาทต้นทาง-ลดความเหลื่อมล้ำรากหญ้า
วันที่ 25 มี.ค.54 ที่อิมแพ็ค คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจัดงานสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยระดับชาติครั้งที่ 1 โดยเครือข่ายผู้ใช้แรงงานเพื่อการปฏิรูป จัดเวทีรับฟัง ประเด็น “กระบวนการเข้าถึงสิทธิที่กฎหมายบัญญัติของผู้ใช้แรงงาน”
นางจันทร์มณี กลิ่นหอม ผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ จ.นนทบุรี กล่าวถึงพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) กองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน ยังมีช่องว่างที่ทำให้แรงงานหลุดออกจากสิทธิที่ควรได้รับ เช่น ตนป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อซีกซ้ายชาจากการทำงานรีดผ้านานกว่าวันละ 12 ชั่วโมง ยกน้ำหนักเตารีดกว่า 3 กิโลกรัมทุกวัน แต่ภายหลังเข้ารับการรักษาโดยระบบประกันสังคม แพทย์เพียงให้คำแนะนำว่า ต้องหยุดทำงานลักษณะดังกล่าว ซึ่งหากทำตาม คนหาเช้ากินค่ำอย่างตนก็อดตาย
“เมื่อไปใช้กองทุนทดแทนในข่ายผู้ป่วยโรคจากการทำงาน แต่ไปติดขัดระเบียบที่การกำหนดอัตราค่ารักษา โรคที่คนป่วยต้องใช้เงินรักษา 65,000 บาท แต่จากคำวินิจฉัยโดยคณะกรรมการกองทุนทดแทนให้แค่ขั้นต่ำ 35,000 บาท การรักษาจึงไม่ต่อเนื่อง เงินหมดก็ต้องหยุด” นางจันทร์มณี กล่าว
ขณะที่น.ส.คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ นักกฎหมายจากศูนย์ช่วยเหลือวิกฤติการณ์แรงงาน กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นผลมาจากข้อบัญญัติตาม พ.ร.บ.ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง การกำหนดอัตราเช่นนี้เป็นการจำกัดสิทธิในการรักษาที่แรงงานพึงได้ หมายความว่า หากผู้ป่วยต้องการขยายวงเงินอาจต้องเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง ประการสำคัญที่สุดคือการให้สิทธิวินิจฉัยขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกองทุนทดแทน แทนที่จะยึดตามคำวินิจฉัยของแพทย์
“บางโรคเรื้อรัง เช่น โรคที่ต้องกายภาพบำบัด พ.ร.บ.กำหนดให้ได้ไม่เกิน 30 ครั้ง แล้วถ้าต้องทำเกิน กลุ่มคนพวกนี้จะทำอย่างไร ตกงานไม่พอซ้ำต้องหาเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลอีก ยังไม่รวมขั้นตอนยุ่งยากที่ต้องอุทธรณ์คำวินิจฉัยซ้ำแล้วซ้ำอีก เพียงแค่ต้องการใช้สิทธิของตัวเอง” น.ส.คุ้มเกล้า กล่าว
จากนั้น ในเวทีมีการแสดงความคิดเห็นเพื่อเสนอต่อการปฏิรูป เช่น การปรับปรุงข้อบัญญัติให้กองทุนทดแทนจ่ายค่ารักษาพยาบาลจนกว่าแพทย์จะรับรอง โดยไม่กำหนดเพดานขั้นต่ำ แต่ให้เป็นไปตามสภาพความเป็นจริง และทำให้ระบบประกันสังคมครอบคลุมและให้สิทธิที่คุ้มค่าต่อจำนวนเงินสมทบที่แรงงานต้องจ่าย และยังเห็นว่าบัตรทองดีกว่าประกันสังคมกว่าทุกด้าน
นอกจากนี้ ในเวทีรับฟัง ยังมีการพูดคุยในประเด็น “การปฏิรูประบบความยุติธรรม : การเสริมพลังชุมชน” โดยเครือข่ายยุติธรรมกับการปฏิรูป พ.ต.ท.ดร.พงษ์ธร ธัญญสิริ ผอ.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกระบวนการทางกฎหมายในสังคมไทยมักพุ่งเป้าไปที่ยุติธรรมกระแสหลัก ที่มีตำรวจ อัยการ ศาล เป็นแกน และปัญหาก็รวมศูนย์ไว้ที่เดียวกันทั้งหมด ทั้งที่คดีหรือข้อพิพาทต่างๆสามารถไกล่เกลี่ยได้ตั้งแต่ของกระบวนการของชุมชน
“ยุติธรรมชุมชนจะเป็นส่วนสำคัญในการปฏิรูปประเทศลดความเหลื่อมล้ำของชาวบ้านที่เข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรมได้ และยังเป็นจุดเริ่มต้นให้ชุมชนรู้จักพึ่งพิงและเรียนรู้จะแก้ไขปัญหาของตนเองนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ในอนาคต” พ.ต.ท.ดร.พงษ์ธร กล่าว
รศ.อัจฉราพรรณ จรัสวัฒน์ จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ยุติธรรมชุมชนเป็นระบบที่จะเปลี่ยนโลกทัศน์วิธีคิดของประชาชนให้รู้จักจัดการตนเอง เป็นห่วงโซ่ให้รัฐ เอกชน ชุมชนหันมาทำงานร่วมกัน และทำให้ชุมชนซึ่งอยู่ในสภาวะไร้พลังมีพลังด้วยวิธีลดการพึ่งพาอำนาจ แต่สิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไปคือกระทรวงยุติธรรมในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบต้องแสดงความชัดเจนว่าจะให้ชุมชนทำในลักษณะใด เช่น ทำเองทั้งหมด หรือทำคู่กัน
ส่วนการบริหารจัดการควรติดอาวุธทางปัญญา ส่งเสริมเจ้าหน้าที่ลงไปให้ความรู้ชาวบ้านไปพร้อม ๆกับการสร้างข้าราชการพันธุ์ใหม่รับใช้ชุมชนมากขึ้น นอกจากนี้ควรพัฒนาเป็นสมัชชายุติธรรมชุมชน ก่อนต่อยอดออก พ.ร.บ.ยุติธรรมชุมชน เพื่อให้มีทุนมาสนับสนุนกลไกการทำงานด้วย
สำหรับความเห็นจากพื้นที่ต้นแบบ นางวิภา เฟื่องฟูดำรงชัย เลขานุการศูนย์ยุติธรรมชุมชน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ราษฎรเต็มขั้นมีความสามารถทำหน้าที่นี้ได้ไม่ต่างกับเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม เพียงแต่อาจต้องอาศัยความองค์ความรู้จากราชการในแง่นิติศาสตร์และรัฐศาสตร์มาหนุนเสริม และเชื่อว่าภาคราชการขณะนี้ตื่นตัวและยินดีให้ความร่วมมือกับชุมชนมากขึ้นแล้ว ขอเพียงมีจุดหมายร่วมกันเพื่อทำให้เกิดความยุติธรรมถ้วนหน้าและสร้างสมานฉันท์ .