- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “สมชัย” เชื่อนักการเมืองไม่กล้าแตะ VAT หวั่นกระทบคะแนนเสียง
“สมชัย” เชื่อนักการเมืองไม่กล้าแตะ VAT หวั่นกระทบคะแนนเสียง
นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ บอกสูตร "พิสูจน์" ความรวยจนเฉพาะบุคคล พร้อมเปิดตัวเลขรัฐสูญรายได้จากการเก็บภาษีมหาศาล เหตุคนรวยทั้งเลี่ยง – ได้ลดหย่อน แนะปรับ VAT จี้ทำคลอดภาษีที่ดิน อัดงบฯ เข้าสวัสดิการ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้
วันที่ 25 มีนาคม ห้องปฏิรูป 5 คณะกรรมการการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม จัดประชุมวิชาการ “ความเป็นธรรมทางภาษี : ถึงเวลาปฏิรูป ?” ในงานสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งงที่ 1 พ.ศ.2554 ณ อิมแพ็ค คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี โดยมี ดร.สมชัย จิตสุชน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และนางสาวสุมาลี สถิตชัยเจริญ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ร่วมวงเสวนา
ดร.สมชัย กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปจำนวนมาก แม้ตามกฏหมายจะระบุว่าคนที่มีรายได้สูงมีโอกาสต้องเสียภาษีถึงร้อยละ 37 แต่ยังมีการช่วยเหลือในข้อลดหย่อนภาษีค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันวิธีการหลบเลี่ยงภาษีก็ยังเกิดขึ้น เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบฐานรายได้ส่วนบุคคลได้อย่างแท้จริง เช่น นำเงินไปปล่อยกู้นอกระบบเพื่อทำกำไร ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ข้อมูลข้อเท็จจริง
“วิธีการหนึ่งที่ในระดับสากลที่ยอมรับว่าสามารถพิสูจน์ความรวยจนเฉพาะบุคคลได้จริง คือ รูปแบบการบริโภค ซึ่งสามารถบ่งชี้ฐานะได้อย่างแม่นยำ เช่น หากเป็นคนจนจะไม่มีความสามารถในการซื้อรถเบนซ์หรือน้ำหอมราคาแพง ซึ่งการเสียภาษี VAT และสรรพสามิตรจะทำให้บุคคลที่มีฐานะร่ำรวยไม่สามารถหลบเลี่ยงภาษีได้”
นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ กล่าวอีกว่า หากเปรียบเทียบการเก็บภาษี VAT ในทุกประเทศทั่วโลก จะพบว่าภาษี 7% ของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งมีเพียง 5 ประเทศทั่วโลกที่จัดเก็บภาษีต่ำกว่าไทย ทั้งนี้มาจากหลักคิดส่วนหนึ่งที่ว่า การเก็บภาษีจากการใช้จ่ายนี้จะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ลึกซึ้ง เพราะยังมีหลายฝ่ายมองว่าจะสร้างภาระค่าใช้จ่ายให้กับคนจน ขณะที่นักการเมืองก็ไม่กล้าเข้ามาเปลี่ยนแปลง เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียง
“ความเป็นธรรมทางภาษีนั้น ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณอัตราภาษีที่ต้องจ่ายเสมอไป แต่ต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่ประชาชนได้รับกลับมาด้วย อย่างสวัสดิการที่มีคุณภาพ หากทำได้สำเร็จจริง แม้ทุกคนจะมีภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพิ่มขึ้น แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์คุ้มค่ามากกว่าภาระนั้นคือคนจน”
ดร.สมชัย กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันรายได้ประเทศชาติหายไปจากภาษีอย่างมหาศาล ซึ่งโดยโครงสร้างไทยยังเก็บภาษีได้น้อยกว่าศักยภาพค่อนข้างมาก โดยในช่วงเวลา 10 ปีที่ผานมา สามารถเก็บภาษีได้เพียง 16 – 18% ของรายได้ประชาชาติ ซึ่งงานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ในประเทศที่มีค่า GDP เทียบเท่าประเทศไทยสามารถจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 20% ส่วนต่างที่เกิดขึ้นทำให้รัฐสูญเงินไปถึง 3 – 4 แสนล้านบาท โดยกลุ่มที่มีปัญหามากที่สุดคือกลุ่มคนรวย
“ข้อเสนอแนะประการหนึ่งคือประเทศไทยควรเปลี่ยนความคิดในการเสียภาษีใหม่ จากเคยตัดสินจากฐานอาชีพ เช่น ชาวนาได้รับการยกเว้นภาษี ทั้งที่ความเป็นจริงมีชาวนาจำนวนมากที่ทำรายได้หลายล้านบาทจากอาชีพ ดังนั้นควรเปลี่ยนความคิดเป็นตัดสินจากฐานรายได้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการจัดหารายได้ของชาติ”
ดร.สมชัย กล่าวต่อด้วยว่า ภาษี BOI ที่มีนโยบายเพื่อส่งเสริมการลงทุน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายได้รัฐขาดหาย ซึ่งยังมีข้อกังขากันอยู่ว่าหากยกเลิกภาษีนี้จะทำให้นักลงทุนหนีหายหรือไม่ โดยงานวิจัยบางชิ้นระบุว่า 80% ของกลุ่มที่ได้รับการส่งเสรินั้น ตั้งใจจะเข้ามาทำธุรกิจอยู่แล้ว แม้จะไม่มีข้อยกเว้นในการเสียภาษีก็ตาม เหล่านี้ทำให้ประเทศชาติหายไปกว่าแสนล้านบาท
“ขณะเดียวกันภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยนั้นยังสูงกว่าประเทศรอบข้าง ด้านมาเลเซียอยู่ที่ 25% เวียดนาม 18% ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 30% ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้บริษัทในไทยมีต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น โดยส่วนตัวยังมองว่าสามารถแก้ปัญหาได้โดยโดยยกเลิกนโยบายการส่งเสริมการลงทุน เพื่อจัดหารายได้เพิ่มแก่รัฐ และลดอัตราภาษีนิติบุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมการลงทุนในภาคธุรกิจ”
ด้านการจัดเก็บภาษีมรดก ดร.สมชัย กล่าวว่า ความเป็นจริงการเก็บภาษีดังกล่าวอาจไม่สามารถทำรายได้ให้กับประเทศได้มากนัก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือประเทศญี่ปุ่น และอังกฤษในท้ายที่สุดก็ต้องยอมแพ้ เนื่องจากภาษีนี้มีแรงจูงใจให้หลบเลี่ยงค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันภาษีมรดกเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศนั้นจะเอาจริงในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมเท่านั้น ซึ่งการจัดเก็บรายได้หลักของประเทศที่แท้จริง คือการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะที่ดินเป็นทรัพย์สินที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย และยากต่อการหลีกเลี่ยง
ด้าน นางสาวสุมาลี กล่าวว่า ที่ผ่านมาข้าราชการเคยเสนอให้มีการปรับโครงสร้างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหลายฉบับ แต่เมื่อนำเข้าสู่สภา นักการเมืองไม่ดำเนินการต่อก็ไม่มีความคืบหน้า ดังนั้นต้องอาศัยอำนาจจากประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างแรงกดดันให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่กระบวนการผลักดันกฎหมายฉบับนี้มีการปรับแก้มาหลายครั้ง อีกทั้งมีการทำประชาพิจารณ์ และการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ แต่อย่างไรก็ตามภาษีดังกล่าวก็ยังมีกระแสต่อต้านจากประชาชนค่อนข้างมาก เพราะเนื้อหาของกฎหมายฉบับนี้ต้องจัดเก็บภาษีจากที่อยู่อาศัยและที่ดิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่เคยจ่ายมาก่อน