- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ผ่าทางตันวิกฤตได้ “นพ.พลเดช” ลั่นประเทศต้องมี รบ.พรรคเดียว
ผ่าทางตันวิกฤตได้ “นพ.พลเดช” ลั่นประเทศต้องมี รบ.พรรคเดียว
นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ยันในภาวะที่บ้านเมืองไร้เสถียรภาพ ประเทศต้องการพรรคการเมืองที่แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพ เพื่อนำพาประเทศออกจากองคาพยพต่างๆ พร้อมแนะ ปชช. เลือกให้เด็ดขาด
เมื่อเร็วๆ นี้ เวทีพลเมืองอภิวัฒน์ คนเปลี่ยน ประเทศไทยเปลี่ยน จัดกิจกรรม “20 คมความคิด 20 ปฏิบัติการเปลี่ยนประเทศไทย” โดยมีนายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (สทพ.) บรรยายหัวข้อ “โหวตอย่างไรให้การเมืองเปลี่ยน” ณ อาคารอเนกประสงค์ 1 ชั้น 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
นายแพทย์พลเดช กล่าวถึงการเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค.ว่า เป็นการเลือกตั้งที่มีความสำคัญกว่าครั้งก่อนๆ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้มีความแตกแยกอย่างหนัก อีกทั้งไม่มีทีท่าว่าจะผ่านวิกฤตได้อย่างไร ซึ่งจากการคาดการณ์พบว่า หลังการเลือกตั้งไม่ว่าพรรคไหนจะได้เป็นรัฐบาล ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งที่แก้ไม่ตก กระทั่งอาจมีภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้
นพ.พลเดช กล่าวถึงนโยบายหาเสียงในช่วงที่ผ่านมาว่า ไม่มีพรรคไหนเลยที่มีนโยบายเรื่องการปฏิรูปประเทศไทย การเมืองการปกครอง ต่อต้านคอร์รัปชั่น ดังนั้น พลังการเมืองภาคประชาชนจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนต่อไปในช่วงจัดตั้งรัฐบาล โดยต้องเฝ้าติดตามนโยบายชุดใหม่ที่จะแถลงต่อรัฐสภาว่า มีเรื่องการปฏิรูปต่างๆ บรรจุไว้ในสาระหรือไม่ อีกทั้งต้องจับตาดูว่า ใครจะเข้าไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใด โดยนำรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มากาง หากพิจารณาแล้วพบว่า ส.ส .คนใดไม่ดี เป็นสีเทา ขี้โกง เผาบ้านเผาเมืองก็ขึ้นบัญชีดำไว้ ห้ามไม่ให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีเด็ดขาด เพราะไม่เช่นนั้นประเทศอาจฉิบหาย
“ประเทศไทยขณะนี้เกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า พลังปฏิรูปนอกสภา มีทั้งพลังภาคประชาชน พลังกลไกตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นพลังกึ่งศาลหรือตุลาการภิวัฒน์ ดังนั้น ใครจะทำตามอำเภอใจไม่ได้ อีกทั้งยังมีพลังกองทัพที่พร้อมจะแทรกหากประเทศมีความยุ่งยาก มีกระแสเคียดแค้นชิงชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาก” นพ.พลเดช กล่าว และว่า ในส่วนของภาคประชาชน ซึ่งมีความเป็นอิสระ ไม่ใช่พรรคใดพรรคหนึ่ง จึงควรใช้วิธีการโหวตเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งหมายถึง การไม่เลือกให้พรรคใดได้เสียงข้างมาก ไม่เลือกเพราะความชอบส่วนตัว แต่เลือกโดยยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นตัวตั้ง
“การโหวตครั้งนี้สิ่งที่ต้องตัดสินใจคือ จะเลือกเพื่อให้มีรัฐบาลพรรคเดียวหรือรัฐบาลผสม ซึ่งที่ผ่านพิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลผสมหรือรัฐบาลแบบเป็ดง่อย บินเหมือนนกก็ไม่ได้ ว่ายน้ำแบบปลาก็ไม่ดี ไม่มีความเข้มแข็ง ไม่กล้าตัดสินใจ รวมทั้งไม่กล้าฟันพวกพ้องที่ทุจริต ดังนั้น ในภาวะที่บ้านเมืองไร้เสถียรภาพเช่นนี้ ประเทศจึงต้องการพรรคการเมืองที่แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพ เพื่อนำพาประเทศออกจากองคาพยพต่างๆ”
นพ.พลเดช กล่าวถึงผลการเลือกตั้งว่า หากได้รัฐบาลผสมประเทศชาติจะโอกาสหลุดจากวิกฤตน้อยมาก แต่หากได้รัฐบาลพรรคเดียว ไม่ว่าจะรัฐบาลเสื้อแดง ซึ่งเปรียบเหมือนกับมังกรไฟ ว่ายน้ำเป็น พ้นไฟได้ จะมีพละกำลังมากพอที่จะขับเคลื่อนประเทศออกจากวิกฤต ในทางกลับกัน หากเป็นรัฐบาลสีฟ้า ซึ่งเปรียบได้กับคชสาร บุกน้ำ ลุยโคลน ขึ้นเขาได้ ประเทศก็จะขับเคลื่อนออกจากวิกฤตได้พอๆกัน ดังนั้น หากใครชอบแบบไหน ก็ควรเทคะแนนให้ทั้งสองแต้ม เพื่อประเทศจะได้รัฐบาลพรรคเดียว เพราะรัฐบาลแบบเป็ดง่อยแก้ปัญหาไม่ทันการณ์แน่นอน
ทั้งนี้ นพ.พลเดช กล่าวถึงผลโพลล์สำนักต่างๆ ด้วยว่า ขณะนี้ผลที่ออกมาดูเหมือนพรรคเสื้อแดงจะมีกระแสความนิยมมากกว่าพรรคสีฟ้า แต่ก็ยังไม่แน่ เพราะขึ้นอยู่กับว่านายใหญ่จะจ่ายหรือไม่ ซึ่งวันที่ 3 ก.ค.นี้ โพลล์อาจถูกหลอกได้
“พื้นที่ที่ต้องจับตามีทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่อาจพลิกโผ รวมทั้งเขตกรุงเทพมหานครที่เกิดเหตุเผาบ้านเมืองหลายระลอก ฉะนั้น โอกาสของพรรคสีแดง สีฟ้าจึงมีเท่ากัน แต่ทั้งนี้จุดที่เป็นตัวแปรคือ กรุงเทพฯ หากมีแลนด์สไลด์ไปข้างใด โอกาสที่พรรคนั้นจะชนะการเลือกตั้ง ย่อมมีสูง”