- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “นิธิ” เปิดหัวใจการอ่านที่แท้จริง ต้องเป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน
“นิธิ” เปิดหัวใจการอ่านที่แท้จริง ต้องเป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน
ศ.ดร. นิธิ ย้ำชัดหากยังไม่ปฏิรูปการศึกษาให้การอ่านเป็นการหาความสุขในชีวิต อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน ให้เด็กในห้องเรียน สนุกที่จะคิดวิเคราะห์ เชื่อยากจะเห็นสังคมไทย เป็นสังคมนักอ่าน
วันที่ 25 สิงหาคม 2554 สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (สอร.) จัดการประชุมวิชาการประจำปี 2554 (Thailand Conference on Reading : TCR 2011) ณ โรงแรม อมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ วันที่ 2 โดยมี ศ.ดร. นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ อดีตคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) กล่าวปฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “นิสัยการอ่านของคนไทยในมิติด้านวัฒนธรรม”
ศ.ดร.นิธิ กล่าวถึงการอ่านในสมัยโบราณของคนไทยนั้นเป็นการอ่านออกเสียงให้ฟังมากกว่าการอ่านจากตัวหนังสือ ดังนั้นการถ่ายทอดวรรณกรรม หรือเรื่องราวจึงเป็นการถ่ายทอดผ่านความจำ ซึ่งบางเรื่องนั้นก็สูญหายไป ซึ่งวิธีการเสพวรรณกรรมของคนโบราณนั้นเป็นการเสพแบบ "ฟัง" มากกว่า "อ่าน" เช่นการขับเสภา หรือการฟังเทศน์ อาจกล่าวได้ว่า วิธีการอ่านให้ฟังเป็นหัวใจของการเสพวรรณกรรมไทย ทำให้วรรณกรรมที่เป็นความเรียงนั้นในสังคมไทยจึงมีไม่มาก เพิ่งจะมีในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
อดีต คปร. กล่าวว่า แม้ว่าเราจะมีการฉลองการมีอักษรไทยมา 700-800 ปี มาแล้ว แต่สังคมไทยก็ไม่ใช่สังคมที่ใช้ตัวอักษรมากนัก ในระบบการปกครองไทยสมัยโบราณ ก็ไม่ค่อยมีเอกสารทางราชการ เพราะฉะนั้นตัวหนังสือจึงไม่ได้เป็นสื่อกลางในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ตัวหนังสือกลับใช้ในส่วนของศาสนา ซึ่งจะมีมากในหนังสือเทศน์ ของพระสงฆ์
ทั้งนี้ ศ.ดร. นิธิ กล่าวถึงการอ่านในปัจจุบันว่า แม้ภาษาไทยจะเป็นภาษาที่มีตัวสะกด แต่ในความเป็นจริงนั้นคนไทยไม่เคยสะกดคำ แต่เป็นการมองคำทั้งคำเป็นสัญลักษณ์ โดยใช้การจำสัญลักษณ์ เพราะเราคุ้นเคยกับสัญลักษณ์เหล่านั้นจนกระทั่งความหมายไหลผ่านสมอง และจิตใจได้ทันที
“เมื่อเราเห็นสัญลักษณ์ เราจะคิด วิเคราะห์ และรับความรู้สึก จากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างค่อนข้างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้คือการอ่าน โดยหัวใจของการอ่านที่แท้จริงนั้นต้องเป็นความเพลิดเพลิน ที่จะเป็นตัวส่งเสริมนิสัยการอ่านได้เป็นอย่างดี” อดีต คปร. กล่าว และว่า เรื่องการศึกษา โรงเรียนเกิดขึ้นหลังจากที่มีการใช้เครื่องพิมพ์ แต่นั้นก็ไม่ได้มีความแตกต่างในการศึกษาแบบโบราณ โดยมุ่งเน้นให้นักเรียนนั้นใช้ความจดจำความจริง เช่น โลกกลม ความแตกต่างของลักษณะภูมิอากาศ เป็นต้น จะสังเกตได้ว่า แบบเรียนภาษาไทยนั้นค่อนข้างสั้น โดยเป็นการสรุปความจริงให้มีความสั้น และกะทัดรัดให้เด็กสามารถจดจำได้ง่าย โดยไม่มีความอธิบายการเกิดขึ้นของความจริง
ศ.ดร. นิธิ กล่าวด้วยว่า ดังนั้น ต้องทำให้การอ่านเป็นการหาความสุขในชีวิต เป็นการอ่านที่เพลิดเพลินที่จะทำให้เราได้รู้สิ่งที่แตกต่าง และนำมาแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งสิ่งนี้ในสังคมไทยยังไม่ค่อยมี ต้องให้เด็กๆในห้องเรียน สนุกในการจะคิดวิเคราะห์ และต้องไม่ลงโทษในการที่จะคิดวิเคราะห์แตกต่างจากตำรา หรือครูอาจารย์ ตราบใดที่ยังไม่มีการปฏิรูปการศึกษาให้เป็นเช่นนี้ สังคมไทยก็จะไม่ใช่สังคมนักอ่านตลอดไป