- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “จอน อึ๊งภากรณ์” จี้ รบ.ให้ความสำคัญ กม.ที่เป็นเรื่องของฐานทรัพยากร
“จอน อึ๊งภากรณ์” จี้ รบ.ให้ความสำคัญ กม.ที่เป็นเรื่องของฐานทรัพยากร
อดีต ส.ว. มองกระบวนการยุติธรรมไทยมีปัญหา เน้นแต่เรื่องการลงโทษ เอาคนเข้าคุก แถมถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ชี้หากจะปฏิรูปกฎหมายให้เป็นไปในแนวทางประชาธิปไตย ต้องลดการลงโทษประชาชนลง
วันนี้ 25 สิงหาคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะ (นสธ.) จัดสัมมนาเรื่อง "กฎหมายที่รัฐบาลและสภาใหม่ควรให้ความสำคัญ” เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ถึงแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมายที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างที่จะเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ พร้อมมีการแถลงข่าวเปิดเว็บไซต์ www.thailawwatch.org โดยดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธาน ทีดีอาร์ไอ ณ ห้องประชุมชั้น 5 คณะเศรษฐศาสตร์ มธ.
นายจอน อึ๊งภากรณ์ ประธานคณะกรรมการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน และอดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ปาฐกถา “วาระปฏิรูปกฎหมายของรัฐบาลใหม่” ตอนหนึ่งถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ ว่า มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับกฎหมายไม่กี่ข้อ ไม่บอกชัด และไม่บอกว่า จะปฏิรูปกฎหมายอย่างไร ซึ่งแม้จะฟังดูสวย แต่จริงๆ เป็นอย่างไรไม่รู้ โดยมีสิ่งที่แตกต่างกับรัฐบาลชุดก่อน คือ จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระเร่งด่วน ผมเห็นด้วย เป็นเรื่องดี แก้ไขเพื่อให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องจับตาดูด้วยว่า กระบวนการในการร่างเป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่ รวมทั้งกลุ่มร่าง โครงสร้างจะออกมาเป็นอย่างไร”
นายจอน กล่าวถึงระบบกฎหมายและระบบความยุติธรรมของประเทศไทย ว่า ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน วาระการปฏิรูปกฎหมายไม่ต่างกัน เป็นวาระเดียวกัน ซึ่งเราต้องยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทยมีปัญหามาก ในแง่การให้ความเป็นธรรมของคนในสังคม การลงโทษก็ไม่สมดุลกัน โดยจะพบว่า ครึ่งหนึ่งคนอยู่ในคุก เป็นคดียาเสพติด ขณะที่คนรวยมีกระบวนการคุ้มครอง จึงยากมากที่คนรวยจะติดคุก
“ที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรม ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ โดยจะสังเกตได้ว่า กระแสการลงโทษนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ทางการเมือง อีกทั้งคนในกระบวนการยุติธรรมก็ไม่เข้าใจเรื่องทางสังคม” อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าว และว่า ดังนั้น หากโจทย์ของเราคือการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับปฏิรูป ก็ต้องมองการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมลงชื่อเสนอกฎหมาย หรือคัดค้านกฎหมาย รวมทั้งเข้ามามีส่วนร่วมในการทำประชาพิจารณ์เกี่ยวกับกฎหมายที่จะมีผลกระทบด้วย
สำหรับปัญหาของกฎหมายไทยนั้น นายจอน กล่าวต่อว่า เน้นแต่เรื่องการลงโทษ เอาคนเข้าคุก ห้ามหลายอย่าง เปรียบเหมือนกันปูพรมชั้นที่ 1 ยังไม่พอ ต้องปูพรมถึง 3-4 ชั้น โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวความมั่นคงได้เพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ ดังนั้นหากเราจะปฏิรูปกฎหมายให้เป็นไปในแนวทางประชาธิปไตย จึงต้องลดการลงโทษประชาชนลง สิ่งที่ต้องเพิ่ม คือ ต้องใช้กฎหมาย เป็นเครื่องมือของผู้ไร้อำนาจ ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ส่งเสริมรัฐสวัสดิการ
“เราต้องพลิกกลับ อย่ามองทุกคนเป็นอาชญากร กฎหมายควรมีไว้เพื่อส่งเสริมการเป็นอยู่ที่ดี ลงโทษคนให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ส่วนพวกฮาร์ดคอ ต้องมีมาตรการกันไม่ให้คนเหล่านี้สร้างปัญหา และควรมองคนทำผิดกฎหมายอย่างเข้าใจสาเหตุ ลงโทษอย่างสร้างสรรค์ ไม่ควรเอาคนเข้าคุกเป็นสูตรสำเร็จ” นายจอน กล่าว และว่า เราต้องการกฎหมายที่เขียนง่าย เข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่คนอ่านแล้วรู้เรื่อง โดยเฉพาะกฎหมาย 1 ฉบับ ควรมีบทสรุปเนื้อหาสาระ ให้เป็นภาษาชาวบ้านกำกับไว้ด้วย
ส่วนกฎหมายที่ดีนั้น นายจอน กล่าวว่า 1.ควรเริ่มจากภาคประชาชน ที่สนใจในสิทธิเสรีภาพ 2.ควรเป็นกฎหมายที่เสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ไม่ใช่ไปเสริมอำนาจของเจ้าหน้าที่ 3.กฎหมายต้องมีการประชาพิจารณ์ อย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรกตกลงในหลักการสาระสำคัญ ร่างเสร็จแล้ว ก็ได้รับการประชาพิจารณ์อีกครั้ง และที่สำคัญต้องเป็นกระบวนการที่ให้เวลาที่ประชาชนรับรู้ อย่างงุบงิบทำประชาพิจารณ์ และ 4.จะต้องให้คณะกรรมการกฤษฎีการมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด ให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ทำหน้าที่เป็นแค่ช่างเทคนิคเท่านั้น
อดีตวุฒิสภา กล่าวด้วยว่า กฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่เกินขอบเขต ต้องโล๊ะทิ้ง ยกเลิกกฎอัยการศึก พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ,กฎหมายที่ขัดขวางต่อสิทธิเสรีภาพประชาชน โดยเฉพาะกฎหมายชุมชนในที่สาธารณะ เพราะไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน, พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ยกเลิกมาตราที่เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็น และมาตรา 112 ต้องมีการปรับปรุง ขณะที่กลุ่มกฎหมายที่รัฐควรมีความสำคัญ ประกอบด้วย 1.กฎหมายที่เป็นเรื่องของฐานทรัพยากร สิทธิของประชาชนในการเข้าถึงธรรมชาติ เข้าถึงป่า น้ำ สิ่งแวดล้อม 2.กฎหมายที่เกี่ยวกับสวัสดิการสังคม หรือรัฐสวัสดิการ