- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นักวิชาการ ชี้ละครสร้างสรรค์เปลี่ยนแปลงสังคมได้ นำคนคิดต่างหันหน้าคุยกัน
นักวิชาการ ชี้ละครสร้างสรรค์เปลี่ยนแปลงสังคมได้ นำคนคิดต่างหันหน้าคุยกัน

ผศ.ดร.ปาริชาติ เชื่อละครช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง เพิ่มทักษะความเป็นมนุษย์ให้แก่เด็ก แนะก.ศึกษาฯ ทำความเข้าใจศาสตร์นี้ และบูรณาการเข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอน
เมื่อวันที่ 6 กันยายน คณะละครมะขามป้อม ร่วมกับหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงาน มหกรรมละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ สวนรถไฟ กรุงเทพฯ โดยมี รศ.ประภาภัทร นิยม สถาบันอาศรมศิลป์ บรรยายเปิดงาน เรื่อง “การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง"
รศ.ประภาภัทร กล่าวตอนหนึ่งถึงการทำละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง มีเหตุผลมาจากที่มนุษย์นั้นเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้จะอยู่ในระบบความสัมพันธ์เดียวกันกับธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ก็ยังเป็นผู้กำหนด ดังนั้นแล้วจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ตัวมนุษย์ก่อน โดยต้องเปลี่ยนแปลงที่พฤติกรรมให้เกิดความสร้างสรรค์ต่อตนเองและผู้อื่น รวมถึงเปลี่ยนระบบวิธีคิดให้เข้าใจระบบความสัมพันธ์ให้ชัดเจน และสิ่งสำคัญคือต้องเปลี่ยนแปลง "จิตสำนึก" ให้เกิดคุณค่าที่แท้จริง เพื่อเกิดความศรัทธาต่อความดีงาม โดยมีสติปัญญาเป็นกลไกที่ทำให้จิตสำนึกอันดีงามอยู่อย่างถาวร
“การทำละคร ทำให้เด็กๆและเยาวชนได้รู้คิด รู้เรื่องราวต่างๆมากมาย ที่ไม่ใช่รู้แค่เรื่องของตนเอง แต่เริ่มที่จะออกจากตนเองแล้วมองสิ่งต่างๆ เห็นความสัมพันธ์ในสังคม พร้อมทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องบางเรื่องที่มาจากน้ำมือมนุษย์ที่สร้างความไม่ชอบมาพากลขึ้น”
รศ. ประภาภัทร กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ควรต้องมีการขยาย และกระจายไปในวงกว้าง ถ้าเป็นไปได้อยากให้เยาวชนไทยทุกคนในระดับตั้งแต่มัธยมปลายเป็นต้นไป ได้ติดอาวุธในเรื่องนี้ ให้ละครเป็นกระจกสะท้อนมองดูตนเองและสังคม และพาให้สังคมรู้เนื้อรู้ตัว เพื่อออกจากวังวนนี้ให้สำเร็จ
จากนั้น ภายในงานยังมีการนำเสนอประสบการณ์ เกี่ยวกับการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง โดย ผศ.ดร.ปาริชาติ จึงวิวัฒนากรณ์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอในหัวข้อ “ละครสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลง”
ผศ.ดร.ปาริชาติ กล่าวว่า การที่ละครสร้างสรรค์จะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้นั้น ขึ้นอยู่กับวาระและโอกาสที่สังคมจะได้สัมผัสกับละครเรื่องนั้น ถ้าหากละครไม่ได้รับความสนใจ ก็อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงระดับสังคมได้ยาก
“อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะไปถึงจุดนั้นหรือไม่ คนที่อยู่ในกระบวนการของการทำละคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ทำงานเบื้องหลัง คนหาข้อมูล หรือแม้แต่ตัวนักแสดง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เพราะการทำละครจะเป็นตัวขับให้คนเราต้องหันหน้ามาพูดคุยกัน มาปฏิสัมพันธ์กัน โดยตัวของงาน มันจะขับเน้นให้เราต้องหันหน้ามีพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนกัน ฟังกัน ถกกัน โดยกระบวนการของมันเอง”
ผศ.ดร.ปาริชาติ กล่าวถึงคำว่า ”สังคม” เป็นคำที่ใหญ่ นักการละครเองคงไม่กล้าที่จะออกมารับประกันได้ว่าละครจะไปทำให้สังคมเปลี่ยนแปลง แต่ในบางจุดก็สามารถที่จะขับเคลื่อนได้ หนึ่งที่ละครพอจะช่วยเหลือได้คือ สร้างสำนึกบางอย่างให้กับสังคม แต่โอกาสและพื้นที่สำหรับละครนั้นน้อยลงไปทุกที
“โอกาสที่ละครดีๆ ละครที่มีคุณภาพ ที่บอกถึงสภาวะภายในของมนุษย์และสภาวะที่มนุษย์ต้องเจอ กับการเปลี่ยนแปลงของโลกมีไม่มากนัก เพราะพื้นที่ที่ละครเหล่านี้จะได้มีโอกาสไปปรากฏตัวมันน้อยลงไปทุกที เราไม่มีพื้นที่เลยแม้เราจะมีหอศิลปวัฒนธรรมทั่วประเทศ มีทุกจังหวัด แต่พื้นที่เหล่านี้อยู่ในมือของคนตัวเล็กๆ ที่ทำงานศิลปะที่พูดถึงเสียงของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง ซึ่งคำถามที่ตามมาคือ อำนาจการตัดสินใจเปิดพื้นที่เป็นของใคร และใครกลุ่มนั้นเปิดพื้นที่ให้กับใคร”
อาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์ มธ. กล่าวอีกว่า ในสังคมของประชาธิปไตยการเรียกร้องเปิดพื้นที่ต้องให้กับคนหลากหลายกลุ่ม ไม่ใช่ใครกลุ่มใดกลุ่มเดียว ไม่ใช่กลุ่มที่ฝักใฝ่กับการเมืองเพียงอย่างเดียว มันควรต้องเปิดพื้นที่ให้คนหลายกลุ่มมากที่สุด หลายชาติพันธุ์มากที่สุด หลายภาษามากที่สุด เพื่อที่เราจะได้มีพื้นที่ของการรับฟังกันและกัน รับฟังให้มากๆ เพื่อที่เราจะเข้าใจกันและกัน
“การจะไปสู่สังคมสันติสุข สังคมปรองดอง สังคมที่มีความสุข มันต้องเริ่มต้นด้วยการที่ต่างคนต่างฝ่าย ต้องรับฟังคนอื่นบ้าง ไม่ใช่เพียงแต่ตัดสินคนอื่น หรือกล่าวหาคนอื่น หรือคิดไปเอง หรือว่ารับข้อมูลอะไรบางอย่างที่เราอาจจะไม่ได้พูดคุยกันอย่างแท้จริง ซึ่งในละครช่วยให้คนที่คิดตรงกันข้ามกันต้องมานั่งคุยกัน เพราะฉะนั้นมันเป็นสื่อในตัวเองที่มีประสิทธิภาพสูงส่งมาก ละครมีชีวิตเสมอ ละครเป็นของมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต เพราะฉะนั้นพลังของสิ่งมีชีวิตมีพลังมหาศาลมากกว่าอื่นใดในโลกนี้ ทั้งนี้ถ้ารัฐปรารถนาอย่างจริงใจให้เกิดสันติในสังคมไทย ละครก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือท่ามกลางเครื่องมืออื่นอีกหลากหลาย ที่จะทำให้คนได้หันหน้ามาคุยกัน”
ผศ.ดร. ปาริชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าหากกระทรวงศึกษาสามารถทำความเข้าใจกับศาสตร์ของละครสร้างสรรค์อย่างแท้จริง จะทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เพราะมีผลการวิจัยสะท้อนออกมาแล้วว่า นักเรียนที่ได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบละครสร้างสรรค์นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงทุกคน และเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี โดยอาจจะเปลี่ยนในอัตราที่ไม่เท่ากัน ซึ่งพิสูจน์ได้ 3 ด้าน 1.มีการเปลี่ยนแปลงด้านปัญญา เรียนรู้ดีขึ้น มีความตั้งใจเรียนมากขึ้น 2. เป็นเรื่องของจิตพิสัย เป็นเรื่องของความเห็นอกเห็นใจ การมีความตระหนักรู้ถึงผู้อื่น มีความเกื้อกูลกัน เห็นคนอื่นเป็นคน 3. เปลี่ยนด้านทักษะ เช่นเด็กที่ติดเล่นแต่อินเตอร์เน็ต ก็มีการเปลี่ยนแปลงทักษะความเป็นมนุษย์ รู้จักฟังคนอื่น รู้จักมองตาคนอื่น รู้จักรับรู้การดำรงอยู่ของเพื่อนมนุษย์ รู้จักสื่อสารเป็น ถ่ายทอดไป ทักษะเหล่านี้สำคัญ
“ไม่ใช่ว่าแทปเล็ตหรืออินเตอร์เน็ตจะไม่สำคัญ แต่ตอนนี้มันกลายว่าเด็กใช้เวลากับสิ่งเหล่านี้มากเกินไปหรือไม่ มันควรจะมีการสมดุล การที่เด็กมีความเท่าทันเทคโนโลยีก็เป็นเรื่องสำคัญมาก แต่จะทำอย่างไรที่จะให้ละครสร้างสรรค์จะเข้าไปบูรณาการและสร้างความสมดุลในการดำรงอยู่ และการเติบโตให้รู้ว่าการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบไม่ได้อยู่แค่ภายในโลกเทคโนโลยี แต่อยู่ที่การพัฒนาตัวตน”
นอกจากนี้ ภายในงานมีการแสดงละคร สะท้อนประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละภูมิภาค จากคณะละครเยาวชนทั่วประเทศ จำนวน 9 เรื่อง ได้แก่ เรื่อง “หมีแพนด้า” จากทีมข้าวนึ่งเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่, เรื่อง “หน่อหมื่อเอ” จากทีมเหล่าเทอโพ กลุ่มนักการละครชาวปกาเกอะญอรุ่นใหม่, เรื่อง “ดงพญาไฟ” กลุ่มละครเยาชนตะขบป่า จ.นครราชสีมา, เรื่อง “สังสินไซ” จากทีม Pigeon คณะวิทยาการจัดการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, เรื่อง “พญาคันคาก” จากทีม Is mass คณะวิทยาการจัดการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, เรื่อง “นิราศสามน้ำ” จากทีมสำนักเจ็ด มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี, เรื่อง “คน...ชุมชน” จากทีม Arts for life โรงเรียนสงขลาเทคโนโลยี จ.สงขลา, เรื่อง “ทะเลชีวิต” จากทีมซิปการละคร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จ.ปัตตานี, เรื่อง “ปลาป๋อง” จากทีมมะนาวหวาน มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา จ.สงขลา
