- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นักวิชาการถล่มยับบ้านหลังแรกไม่เกิน 5 ล้าน ประชานิยมแจกคนทุกระดับ
นักวิชาการถล่มยับบ้านหลังแรกไม่เกิน 5 ล้าน ประชานิยมแจกคนทุกระดับ
รศ. มานพ พงศทัต แนะให้เข้มงวด คุณสมบัติผู้ซื้อด้วย หวั่นซ้ำรอย "แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส" คนที่รายได้ไม่ถึง-เครดิตไม่ดี แห่กู้ ขณะที่ ดร.ปราณี ทินกร บอกตัวเลข 5 ล้าน สูงเกิน กลายเป็นนโยบายประชานิยมที่ไล่แจกคนทุกระดับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันพรุ่งนี้ (20 ก.ย.) กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการสนับสนุนการมีบ้านหลังแรกให้ที่ประชุมพิจารณา โดยกำหนดราคาบ้านเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 5 ล้านบาท เนื่องจากพิจารณาให้ครอบคลุมราคาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลในเมืองและกลางเมืองด้วย
สำหรับรายละเอียดเบื้องต้น ผู้ซื้อสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อบ้านไปคำนวณหักลดหย่อนภาษีได้ปีละ 100,000 บาท ในระยะเวลา 5 ปี รวมเป็น 500,000 บาท สำหรับการซื้อบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท หรือไม่เกิน 10% ของค่าใช้จ่ายจริง ซึ่งเดิมรัฐบาลได้กำหนดว่าจะช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท
ในประเด็นนี้ ศ.ดร.ปราณี ทินกร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงมาตรการภาษีเพื่อลดภาระการลงทุนสำหรับสิ่งจำเป็นในชีวิตของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะมาตรการบ้านหลังแรก นั้น หากรัฐบาลมีนโยบายช่วยผู้มีรายได้น้อยก็เข้าใจได้ เพราะคนจนไม่มีเงินแม้จะซื้อบ้าน ต้องเสียค่าเช่าบ้านอยู่ แต่เมื่อมาตรการนี้ กำหนดราคาบ้านเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 5 ล้านบาท นั้น ต้องดูด้วยว่า เวลาธนาคารปล่อยกู้ จะดูความสามารถในการจ่ายคืน เช่น จะสามารถกู้ได้ไม่เกินกี่เท่าของรายได้ หรือหากนำทรัพย์สินมาวาง ธนาคารไม่ได้ดูเฉพาะทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเท่านั้น แต่จะดูความสามารถในการจ่ายคืน ดูประกอบกันด้วย
“หากประชาชนทั่วไปจะซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท รายได้คุณต้องเป็นเท่าไหร่ คิดง่ายๆ ตัวอย่างเช่น กู้ซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท ผ่อน 15 ปี (5,000,000 บาท ÷ 180 เดือน=27,000 บาทต่อเดือน) ถามว่า คุณต้องจ่ายเงินต้นเท่าไหร่ และยังต้องบวกกับดอกเบี้ยอีก” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. กล่าว และว่า ดังนั้น มาตรการสนับสนุนการมีบ้านหลังแรก จึงไปสนับสนุนคนที่มีรายได้มากกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ยังไม่นับรวมดอกเบี้ย ซึ่งถือว่า สูงเกินไป ไปเอื้อคนที่มีรายได้ค่อนข้างมาก ช่วยภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้ช่วยคนยากจนจริงๆ กลายเป็นนโยบายประชานิยมที่แจกคนทุกระดับ
ขณะที่รศ. มานพ พงศทัต นักวิชาการด้านอสังหาริมทรัพย์ และอาจารย์พิเศษภาควิชาสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า นโยบายให้คนมีกำลังซื้อบ้านหลังแรกได้นั้นเป็นเรื่องดี แต่คนที่จะมาซื้อต้องมีคุณสมบัติกู้ได้ด้วย เพราะหากไม่ให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของคน อาจเกิดเหตุการณ์คล้ายกับโรคแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐอเมริกา คือ ให้คนที่รายได้ไม่ถึงและมีเครดิตที่ไม่ดี สามารถกู้ได้ จึงมีคนมากู้กันมากจนทำให้เศรษฐกิจพัง
“การปรับวงเงินให้เป็น 5 ล้านบาท เพราะเห็นว่าจะมีคนซื้อมากกว่าในวงเงิน 3 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้เป็นกำลังซื้อสำหรับคนชนชั้นกลาง ดังนั้น ควรต้องมีมาตรการให้คนเหล่านี้สร้างพฤติกรรมการออมก่อนซื้อ เช่น ให้ฝากเงินไว้กับธนาคารทุกเดือนๆ 1 ปี จะทำให้เห็นพฤติกรรมการผ่อนส่ง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างประจำ หรือผู้ที่ประกอบอาชีพค้าขาย แต่มีพฤติกรรมการผ่อนส่งที่ดีก็สามารถกู้ได้ และรัฐบาลควรมีมาตรการเร่งรัดให้ผู้ที่ไม่มีความสามารถในการซื้อ ได้เช่าบ้านในระยะยาว เช่นเดียวกับประเทศในแถบยุโรป เพราะจะทำให้มีความมั่นคง และราคาถูกลง ไม่ต้องหาเงินก้อนมาผ่อนและไม่เป็นหนี้”
รศ. มานพ กล่าวถึงผลกระทบของนโยบายนี้ ยังไม่แน่ชัด เพราะมีรายละเอียดอีกมาก แต่ก็มีความวิตกว่า ถ้าปล่อยให้คนที่ไม่มีกำลังซื้อมากู้มาก จะเป็นเหมือนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ กลัวผู้ที่มีพฤติกรรมการผ่อนส่งที่ไม่ดีมากู้ก็จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ฉะนั้นจึงต้องมีการปรับพฤติกรรมเสียก่อน
“มาตรการเสริม 2 อย่างนี้ จะช่วยทำให้โครงสร้างทางธุรกิจมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ไม่ใช่ให้คนกู้บ้านแล้วทิ้งบ้าน เพราะไม่มีกำลังผ่อนส่ง และเพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ที่ไม่มีกำลังผ่อนส่งด้วย”