- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ดร.ธงชัย แนะ รบ. เลิกอุ้มน้ำมันให้เร็วที่สุด หวั่นคนไทยติด เสียนิสัย
ดร.ธงชัย แนะ รบ. เลิกอุ้มน้ำมันให้เร็วที่สุด หวั่นคนไทยติด เสียนิสัย
“ธงชัย พรรณสวัสดิ์” ชี้ ลดภาษีเชื้อเพลิง ดันยอดใช้ 'เบนซิน โซฮอล์ ดีเซล' พุ่ง 2.4 ล้านลิตร/วัน เร่งอัตราปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลั่น ‘นโยบายรถคันแรก’ เป็นความไม่รอบคิดของรัฐบาล สวนทางสังคมคาร์บอนต่ำ
วันที่ 26 กันยายน ศ.ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ รักษาการผู้อำนวยการ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย แถลงข่าว “ผลกระทบจากการลดภาษีเชื้อเพลิงและการจ่ายคืนภาษีรถคันที่มีต่อปัญหาโลกร้อน” ณ โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ
ศ.ดร.ธงชัย กล่าวถึงผลกระทบจากการลดภาษีเชื้อเพลิงของรัฐบาลว่า จากการเปรียบเทียบสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิง ในช่วงก่อนวันที่ 26 สิงหาคม 2554 กับช่วงหลังประกาศมาตรการลดภาษีเชื้อเพลิง ระหว่างวันที่ 1-13 กันยายน พบว่า การใช้พลังงานในกลุ่มเบนซิน 91 และ 95 จากเดิมอยู่ที่ 7.20 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 10.00 ล้านลิตรต่อวันหรือคิดเป็น 39% ขณะที่การใช้แก๊สโซฮอล์ 91, 95, E20, E85 จากเดิมอยู่ที่ 12.53 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงมาอยู่ที่ 11.93 ล้านลิตรต่อวัน คิดเป็น 4.8% ขณะที่การใช้ดีเซล จากเดิม 49.10 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 49.30 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย หรือเกือบคงที่
“หากคำนวณจากตัวเลขข้างต้น จะพบว่า จากเดิมเราใช้พลังงานอยู่ที่ 68.83 ล้านลิตรต่อวัน แต่เมื่อรัฐบาลประกาศใช้นโยบาย ทำให้ค่าเชื้อเพลิงถูกลง การใช้พลังงานจึงขยับมาอยู่ที่ 71.23 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 2.40 ล้านลิตรต่อวัน หรือคิดเป็น 3% ต่อวัน ซึ่งผลกระทบที่ตามมาก็คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มมากขึ้น เพราะหากเทียบสัดส่วนลิตรต่อลิตร จะพบว่า เบนซินปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO2eq) มากกว่าแก๊สโซฮอล์”
ศ.ดร.ธงชัย กล่าวต่อว่า หากคิดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคิดทั้งวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment:LCA) จะพบว่า ก่อนวันที่ 26 สิงหาคมนั้น อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เบนซิล แก๊สโซฮอล์ ดีเซลทั้งประเทศอยู่ที่ 177,779 ตันต่อวัน แต่หลังจากประกาศใช้มาตรการดังกล่าว อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นเป็น 183,793 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้นถึง 6,014 ต่อวัน หรือคิดเป็น 2.2 ล้านตันปี กล่าวคือ อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น 4% ต่อปี หากดำเนินนโยบายดังกล่าวตลอดไป
“ขณะเดียวกัน นโยบายจ่ายคืนภาษีสรรพสามิตรถคันแรกของรัฐบาล ซึ่งตามโควตากำหนดไว้ที่จำนวน 5 แสนคันนั้น หากสมมุติว่า นโยบายดังกล่าวกระตุ้นให้มียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 50 % นั่นคือ 2.5 แสนคัน ตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็จะเพิ่มขึ้นทันที 1,610 ตันต่อวัน จากเดิมในปี 2553 ที่ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 183,476 ตันต่อวัน หรือ 66,968,781 ตันต่อปี”
พร้อมกันนี้ ศ.ดร.ธงชัย ตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศไทยถึงไปเพิ่มก๊าซเรือนกระจกโดยไม่จำเป็น ซึ่งจุดนี้เองอาจทำให้ถูกประณามจากทั่วโลก เนื่องจากกระแสสังคมโลกขณะนี้ พยายามสร้าง "สังคมคาร์บอนต่ำ" แต่เรากลับไปเร่งให้ซื้อรถ และสิ่งเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบตามติดมา เช่น มาตรการกีดกันทางการค้า อีกทั้งเป็นการลดความเป็น ‘คาร์บอนซิ้งค์’ (carbon sink) ซึ่งเป็นทุนของประเทศลง
“ทำไมคนที่เสียภาษีปกติ ต้องมีภาระไปช่วยให้คนที่มีศักยภาพในการเสียภาษีให้รถซื้อรถคันใหม่ในราคาถูกลง ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม เพราะภาษีที่เก็บได้ควรนำไปใช้พัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะโรงพยาบาล หรือรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาธารณประโยชน์มากกว่า”
ศ.ดร.ธงชัย กล่าวถึงข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลว่า เมื่อรัฐบาลออกมาตรการลดภาษีเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้นในการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่ก็พบว่า ราคาสินค้าไม่มีการปรับลดมากนัก อีกทั้งเมื่อน้ำมันราคาถูก คนใช้ก็สะดวกใจ จนทำให้ติดเป็นนิสัย ซึ่งนิสัยเปลี่ยนยาก แล้วจะแก้ปัญหาโลกร้อน แก้ภาพลักษณ์สังคมคอร์บอนต่ำ ทำได้ยากขึ้น ดังนั้น จึงอยากเสนอให้รัฐบาลยกเลิกมาตรการดังกล่าวโดยเร็ว โดยเฉพาะมาตรการรถคันแรก ไม่เห็นจะดีอย่างไร
“หากจะเปลี่ยนนิสัยก็ต้องทำให้เชื้อเพลิงมีราคาแพง ใช้ได้ยาก โดยใช้นโยบายของรัฐบาลเป็นตัวกำหนด แต่ทั้งนี้ การเลิกเร็วๆ คงเป็นไปได้ยาก เพราะนโยบายพึ่งจะออกมา แต่เมื่อเป็นระยะสั้นก็ควรทำให้สั้นจริงๆ เพราะนโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบในระยะยาวอย่างมาก ขณะที่รถยนต์คันแรกนั้น เป็นนโยบายที่ทำร้ายภาพลักษณ์การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งหากมองในแง่สิ่งแวดล้อมแล้วจะพบว่า ไม่มีข้อดีอะไรเลย ดังนั้น ผมจึงคิดว่า นโยบายรถคันแรก เป็นความไม่ค่อยรอบคิดของรัฐบาล มองในมุมเดียวมากเกินไป มองแต่แง่มุมเศรษฐกิจที่จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว”