- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ผอ.คลังสมองฯ แนะคนนอกช่วยตรวจสอบ ไม่ให้ CSR เป็นเพียงเรื่องลวงโลก
ผอ.คลังสมองฯ แนะคนนอกช่วยตรวจสอบ ไม่ให้ CSR เป็นเพียงเรื่องลวงโลก
ดร. ปิยะวัติ บุญหลง เผยกิจกรรม CSR ในมหาวิทยาลัยกำลังเป็นที่นิยม แนะเปิดโลกกว้างดึงบุคคลจากภายนอก เข้าไปช่วยเสริมมุมมอง ขณะที่ผอ.สถาบันพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ยัน CSR ในรูปแบบ 'ให้ บริจาค ทำจิตอาสา' ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ระยะยาวทำอย่างไรจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
วันที่ 30 กันยายน 2554 สถาบันธุรกิจเพื่อสังคม (CSRI) กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดงานสัมมนา CSR Forum ซีเอสอาร์ – ก้าวย่างสู่ความยั่งยืนของธุรกิจ (CSR: The Path to Sustainability) ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ.รัชดาภิเษก ภายในงานมีการเสวนา “ซีเอสอาร์ – ก้าวย่างสู่ความยั่งยืนของธุรกิจ” โดยมี นายอนันตชัย ยูรประถม ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ดร.ไชยยศ บุญญากิจ รองผู้อำนวยการ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย นายกุลเวช เจนวัฒนวิทย์ ที่ปรึกษา Price waterhouse Coopers FAS Ltd. และ ศ.ดร. ปิยะวัติ บุญหลง ผู้อำนวยการสถาบันคลังสมองของชาติ ร่วมเสวนา
นายอนันตชัย กล่าวถึงภาพรวมการทำ CSR (Corporate Social Responsibility) หรือการทำธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมนั้น ยังเป็นการปฏิบัติที่แยกส่วน คือ บุคลากรในองค์กรยังไม่มีความเข้าใจที่ตรงกัน นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปทางธุรกิจ แต่ก็ยังพอเห็นทิศทางที่ดีอยู่บ้าง ซึ่งบางองค์กรเริ่มมีการขับเคลื่อนในเรื่องของการสร้างความเชื่อมโยง และการมอง CSR ให้เป็นกลยุทธ์ในการดำเนินองค์กร
"CSR ไม่ใช่เป็นเพียงกิจกรรม แต่เป็นกระบวนการ โดยต้องเชื่อมโยงกันทั้งระบบ และสามารถที่จะประยุกต์ใช้เครื่องมือในการบริหารจัดการในแต่ละองค์กรได้ ฉะนั้นผู้บริหารเป็นส่วนที่สำคัญ ต้องเข้าใจถึงแนวคิด และหลักของ CSR อย่างแท้จริง ให้ CSR เข้าไปในตัวของบุคลากร ในวิธีคิดปฏิบัติ"
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน กล่าวอีกว่า โครงการที่มีการช่วยในรูปแบบของการให้ การบริจาค หรือการทำจิตอาสาไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ควรต้องมีการผสมผสานในการให้บริการ ให้ผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือนั้นสามารถเข้าถึงการบริการได้อย่างรวดเร็ว และต้องควบคู่ไปกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวด้วย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีปฏิบัติ และวิธีตัดสินใจไปพร้อมๆกัน ทั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญคือ คุณค่าทางสังคม
ด้าน ดร.ไชยยศ กล่าวถึง CSR เป็นเครื่องมือที่พูดถึงการทำอย่างไรให้เกิดความยั่งยืน และเป็นมาตรฐานเดียวที่ทำให้ทำงานได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ CSR มีความสอดคล้องกับความยั่งยืน และเมื่อรวมกับความคาดหวังของผู้ได้รับประโยชน์เข้าไปด้วยก็จะเป็นการทำงานที่สมบูรณ์ แต่ทั้งนี้ ทุกส่วนต้องมีการบูรณาการการจัดการ และไม่ว่าผลกระทบที่เกิดจากการกระทำจะเป็นเช่นไร องค์ต้องมีความรับผิดชอบและดำเนินการจัดการ
รองผอ.สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวอีกว่า หากจะพัฒนาองค์กรให้มีความยั่งยืน จำเป็นที่ต้องมองเห็นความยั่งยืนของทั้งโลก และภายในประเทศด้วย เพื่อนำมาปรับใช้กับการทำงาน ซึ่งสถานการณ์ความยั่งยืนของโลกนั้น ขณะนี้มีแนวโน้มที่จำนวนประชากรจะเพิ่มสูงขึ้น โดย 1 วัน มีคนเพิ่มขึ้นประมาณ 2 แสนคน หมายความว่า ความต้องการในการดำรงชีพมีมากขึ้น รวมถึงการไปเบียดเบียนสิ่งแวดล้อม
“ขณะนี้ประเทศไทยกำลังใช้ทรัพยากรเกิดขีดความสามารถที่ประเทศมีอยู่ เรากำลังยืมทรัพยากรของลูกหลานมาใช้ แทนที่จะอนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังไว้สำหรับใช้ต่อไป ซึ่งเคยมีการประเมินผลออกมาแล้วว่า ประเทศของเรานั้นเน้นการพัฒนาที่เศรษฐกิจมากกว่า โดยไม่ค่อยให้ความสนใจในเรื่องทรัพยากรและสังคม ”
ขณะที่ นายกุลเวช กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนให้ความสำคัญเรื่องของความยั่งยืน ไม่เพียงแต่ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่มองในมุมมองของการมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมด้วย ดังนั้น การลงทุนจะช่วยเป็นแรงกดดันอีกแรงหนึ่งที่จะให้ทำให้องค์กรมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ส่วนดร.ปิยะวัติ กล่าวถึงกิจกรรม CSR ในมหาวิทยาลัยว่า กำลังเป็นที่นิยมค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่จัดเป็นโครงการและกิจกรรมที่ออกมาในมุมของสื่อสารมวลชน และสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย และเป็นเรื่องที่ดี แต่ทั้งนี้มหาวิทยาลัยเป็นโลกเล็กๆ ที่อยู่ด้วยตนเอง ซึ่งควรต้องมีบุคคลจากภายนอก เข้าไปช่วยให้คนภายในได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้น จะอาศัยเพียงอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอย่างเดียวไม่ได้ ภาคธุรกิจต้องเข้าไปช่วยในการจัดการ และเพิ่มประสบการณ์ให้กับบุคลากร
" ในอนาคตมหาวิทยาลัย ต้องกลับมามองภายใน ในเรื่องความรู้ การจัดระบบ ต้องเปลี่ยนโฉมให้เกิดมุมมองใหม่ ระบบใหม่ อาจผ่านงานวิจัย โดยเปลี่ยนที่ตัวคน ให้เป็นคนที่ดีต่อสังคม รู้ว่าสิ่งไหนสำคัญ หรือไม่สำคัญ มีวิธีการแก้ปัญหาของตนเอง ครอบครัว สังคม และองค์กร"
นอกจากนี้ ผอ.สถาบันคลังสมองของชาติ กล่าวยังกล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญที่จะไม่ทำให้ CSR เป็นเพียงเรื่องลวงโลก หรือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเพียงอย่างเดียวนั้น คือต้องเริ่มจากภายในองค์กรที่ต้องมีความเข้าใจตรงกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือคนภายนอกต้องเข้าไปช่วยตรวจสอบ ในส่วนของกระบวนการดำเนินการที่แท้จริง เนื่องจากคนผ่านนอกมองเห็นเพียงภาพลักษณ์ที่ออกมา ไม่สามารถมองเห็นกระบวนการภายในได้ จึงจำเป็นต้องมีผู้ที่เข้ามาตรวจสอบ และนำเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้