- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ผู้ว่าการแบงค์ชาติ เบรก “ภาครัฐ” งดกระตุ้น ศก. โดยไม่จำเป็น แนะ เก็บ‘กระสุน’ ไว้ยามฉุกเฉิน
ผู้ว่าการแบงค์ชาติ เบรก “ภาครัฐ” งดกระตุ้น ศก. โดยไม่จำเป็น แนะ เก็บ‘กระสุน’ ไว้ยามฉุกเฉิน
ผช.ผจก.ใหญ่ ธ.ไทยพาณิชย์ ฟันธง วิกฤตการเงินสหรัฐฯ-ยุโรป ไม่กระทบไทยมากนัก เหตุฐานะการเงินการคลังไทยแข็งแกร่ง-หนี้สาธารณะต่ำ คาด ศก.ไทยปี 55 ขยายตัว 4%
วันที่ 5 ตุลาคม ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จัดสัมมนาเศรษฐกิจประจำปี หัวข้อ “Thailand: Moving Forward with the New Government” ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน กรุงเทพฯ โดย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจปี 2555” ตอนหนึ่งถึงการดำเนินนโยบายการเงินของไทยว่า ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น สร้างความท้าทายในการตัดสินใจด้านนโยบายการเงิน ทำให้นโยบายที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยของไทยนั้น ต้องกระทำอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงของการขยายตัวด้านเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์แต่ละช่วง โดยในปีหน้านโยบายการเงินยังคงมุ่งเน้นในเรื่องการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเสถียรภาพธนาคาร และการป้องกันความไม่สมดุลทางการเงินในระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ขณะนี้นโยบายการเงินมีความพร้อม หากสถานการณ์เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงและต้องการแรงกระตุ้น เนื่องจากที่ผ่านมานโยบายการเงินได้ทยอยปรับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น
“ส่วนแนวนโยบายการคลัง ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ภาครัฐควรเตรียม ‘กระสุน’ ไว้ให้พร้อมในยามจำเป็น หากต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งโดยส่วนตัว มีความเห็นว่า นโยบายปีนี้ต่อไปถึงปีหน้า จะต้องมีความรอบคอบและระมัดระวัง ภาครัฐไม่ควรใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไม่จำเป็น เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจขยายตัวใกล้เต็มศักยภาพ และมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออยู่แล้ว ทำให้การใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง แม้บางคนอาจมองว่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ทำให้มีความจำเป็นต้องกระตุ้นทางการคลังตั้งแต่เนิ่นๆ นั้น เรื่องดังกล่าวก็ถือว่ามีเหตุผล แต่ลักษณะการคลังที่จะส่งผลไปยังเศรษฐกิจได้ในเวลารวดเร็วนั้น ในปัจจุบันสามารถชะลอไว้ก่อนได้ เพื่อเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็นจริงๆ”
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแนวโน้มการใช้จ่ายภาครัฐในปีหน้าว่า ควรทำเท่าที่จำเป็น เน้นกลุ่มเป้าหมาย ตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน โดยสิ่งที่ภาครัฐจะมีบทบาทได้คือ การลงทุน เพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจ ไม่ควรเน้นการบริโภค เพราะการที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ต้องอยู่บนพื้นฐานความสามารถในการผลิตของประเทศอย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้ซ้ำกับบทเรียนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวิกฤตครั้งนี้ โดยภาครัฐควรลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง การพัฒนาคุณภาพแรงงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการเพิ่มศักยภาพการผลิตของเศรษฐกิจไทย เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
“ขณะเดียวกันการลงทุนของภาครัฐ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ ก็จะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยปรับสมดุลให้เศรษฐกิจในประเทศมีบทบาทมากขึ้น สำหรับรองรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ในขณะเดียวกันการลงทุนของภาคเอกชนก็มีบทบาทเช่นกัน เนื่องจากช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการเกิดขึ้นของประชาคมอาเซียนอีกด้วย”
ดร.ประสาร กล่าวอีกว่า ภายใต้เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอนสูง อีกทั้งนโยบายการเงินการคลังยังส่งผลในระยะเวลาที่ต่างกัน ผู้ดำเนินนโยบายการเงินการคลัง จึงต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นในระยะต่อไป เพื่อการดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบและทันท่วงที โดยจำเป็นต้องมองไปข้างหน้าในระยะปานกลางและระยะยาว ทั้งนี้ นโยบายการคลังจะไม่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากนัก หากอำนาจซื้อของประชาชนถูกบั่นทอนจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัว ดังนั้น จึงต้องมีการหารืออย่างใกล้ชิด เพื่อความเข้าใจในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตรงกัน นอกจากนี้จะต้องผสมผสานการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่เหมาะสม เพื่อให้การดำเนินนโยบายทั้งสองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ด้าน ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งจากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐอเมริกา วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยว่า การชะลอตัวของยุโรปและสหรัฐอเมริกา ไม่น่าจะกระทบเศรษฐกิจไทยโดยรวมมากนัก เนื่องจากประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของภาคการเงินการคลังที่แข็งแกร่ง เพราะไทยมีการกู้ยืมจากยุโรปไม่มาก อีกทั้งระดับหนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับต่ำประมาณ 42% ของ GDP ทำให้ภาครัฐมีงบประมาณเพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ชดเชยการส่งออกที่มีแนวโน้มแผ่วลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ผลกระทบจากการส่งออกนั้น
ดร.สุทธาภา กล่าวว่า ประเทศไทยมีการกระจายการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่นมากขึ้น แต่ทั้งนี้ สินค้าที่เกษตรบางชนิดจะได้รับผลกระทบ อาทิ ยางพารา ส่วนสินค้าประเภทอาหาร อาทิ ไก่ กุ้ง จะได้รับผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็น อีกทั้งการผลิตในบ้านเรายังมีต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้อำนาจต่อรองของไทยในตลาดโลกมีมาก “สำหรับผลกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดลงทุนและค่าเงินยังคงมีค่อนข้างมาก เนื่องจาการกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุน ทำให้ตลาดมีความผันผวนอย่างมาก อีกทั้งหากเกิดปัญหารุนแรงมากขึ้น อาจพบเห็นการถอนการลงทุนในทรัพย์สินของตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) และหันกลับไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรสหรัฐฯ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ค่าเงินบาทยังคงผันผวน”
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2555 นั้น ดร.สุทธาภา กล่าวว่า คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 4% โดยปัจจัยหลักยังคงพึ่งพาแรงขับเคลื่อนจากการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ชดเชยการชะลอตัวจากการส่งออก ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อนั้น แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน แต่ทิศทางราคาน้ำมันในอนาคตที่คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นมากนัก ก็น่าจะส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลาย ทั้งนี้ จึงสามารถคาดการณ์ได้ว่าอัตราดอกเบี้ยจึงไม่น่าจะปรับขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ภาพรวมเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านพ้นความผันผวนจากปัจจัยภายนอกไปได้