- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ดร.พิจิตต ชี้คนกรุงเทพฯ ตีค่า 'น้ำ' แค่ที่ทิ้งสิ่งปฏิกูล ไม่ต่างจาก ‘ส้วม’
ดร.พิจิตต ชี้คนกรุงเทพฯ ตีค่า 'น้ำ' แค่ที่ทิ้งสิ่งปฏิกูล ไม่ต่างจาก ‘ส้วม’
อดีตผู้ว่ากทม. แนะอย่าคิดแต่จะไล่ กั้น หนีน้ำ ต้องเป็นทางผ่านให้น้ำ ไม่บุกรุก สร้างสิ่งก่อสร้างตามล้างผลาญคูคลอง-ทางน้ำ ขณะที่ ผู้ก่อตั้งเครือข่าย Design for Disasters เผย อยากให้มองเห็นภาพภัยพิบัติ เพื่อสร้างความตระหนัก และหาวิธีการรับมือ
วันที่ 20 ตุลาคม หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ร่วมกับเครือข่าย Design for Disasters จัดนิทรรศการ “เมืองจมน้ำ Let’s Panic” ระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม - 25 พฤศจิกายน 2554 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างจิตสำนึกและการตระหนักรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน รวมถึงความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ดร.พิจิตต รัตตกุล ผู้อำนวยการบริหารองค์กรเตรียมความพร้อมภัยพิบัติแห่งเอเชีย และอดีตผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ในฐานะประธานเปิดนิทรรศการ กล่าวว่า แผนที่สมัยโบราณระบุว่า พื้นที่กรุงเทพฯ ขึ้นไปถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้นเคยเป็นทะเลทั้งหมด ขณะเดียวกันภาพถ่ายดาวเทียมจากสหประชาชาติก็ยังระบุว่า พื้นที่แอ่งแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างเป็นพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอย่างมาก ฉะนั้นคงต้องยอมรับว่า เราเองที่เป็นคนเข้ามาแย่งพื้นที่ของน้ำ ดังนั้น จึงต้องถามว่า เราจะอยู่รอดและอยู่ร่วมกับน้ำได้อย่างไร
“การอยู่ร่วมกับน้ำนั้นเป็นทั้งเรื่องของศิลปะ วิทยาศาสตร์ ผังเมือง สถาปัตยกรรมและอื่นๆ ซึ่งจะเป็นต้องมองหลายด้านเพื่อให้ได้คำตอบว่าเราจะอยู่กับน้ำได้อย่างไร แต่ทั้งนี้จะต้องไม่ถือว่า น้ำเป็นศัตรู เพราะจริงๆ เราเข้ามาไปแย่งที่น้ำเอง”ดร.พิจิตต กล่าว และว่า การอยู่กับน้ำได้นั้นต้องช่วยให้น้ำระบายได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันต้องสร้างบ้านที่มีเสาสูงๆ เพราะนั่นเท่ากับเรายอมรับความเป็นจริงว่า ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เคยเป็นโคลนตมและทะเลในอดีต
ดร.พิจิตต กล่าวถึงทัศนคติของผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยสูงๆ ว่า ต้องเข้าใจว่า ‘น้ำคืออะไร’ เพราะคนที่อยู่ริมน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกหรือมหาสมุทรอินเดียนั้นรู้ดีว่า ตนจะมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ จะหากินกับน้ำ หรือใช้ประโยชน์จากน้ำได้อย่างไร แต่คนที่อยู่ทางภาคกลางในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ กลับไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเข้าใจเพียงว่า น้ำคือที่ทิ้งสิ่งปฏิกูล ของเสียเหมือนกับ ‘ส้วม’ แทนที่จะรู้คุณค่าของน้ำ
“ทัศนคติของคนกรุงเทพฯ เมื่อเห็นน้ำท่วมมักจะไล่ กั้น หนี หารู้ไม่ว่ามีวิธีมากกว่านั้น นั่นคือ ปรับตัวเองให้อยู่ร่วมกับน้ำ โดยรับรู้ว่า จะต้องเป็นทางผ่านให้น้ำ ไม่บุกรุกคูคลอง ขณะเดียวกันการสร้างสาธารณูปโภค ถนนหนทางต่างๆ ต้องไม่ไปตามล้างผลาญคูคลองหรือทางน้ำ”
ด้านนางสาววิภาวี คุณาวิชยานนท์ ผู้ก่อตั้งเครือข่าย Design for Disaste กล่าวถึงการรวมกลุ่ม Design for Disaste ว่า มาจากคนหลากหลายอาชีพ เพราะตระหนักร่วมกันว่า ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนั้นอาจทวีความรุนแรง อันเนื่องมาจากภาวะของโลกที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น จึงเกิดเป็นความคิดที่จะสร้างความตระหนัก และหาทางร่วมมือกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
“นิทรรศการ ‘เมืองจมน้ำ’ ต้องการสื่อให้คนได้มองเห็นว่า หากเมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร และเมื่อมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจะสามารถช่วยกันคิดวิธีการรับมือ และอยู่กับสภาวะในปัจจุบันได้อย่างไร” นางสาววิภาวี กล่าว และว่า ภายในงานมีส่วนของนิทรรศการ ‘ต้องรอด’ ซึ่งเป็นการจัดแสดงของใช้ที่เห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน มาจัดวางเพื่อให้คนสามารถที่จะมองในมุมมองใหม่ๆ และเป็นแรงบันดาลใจ ปรับเปลี่ยนให้เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยชีวิตได้ในยามเกิดภัยพิบัติ โดยผลงานสร้างสรรค์ที่นำมาจัดแสดง เป็นวิธีการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งที่ศิลปินถ่ายทอดออกมา ซึ่งมีการทำวิจัย และทดลอง เพื่อมาพัฒนาให้เป็นอะไรบางอย่างที่จะสามารถรับมือได้จริง แต่อีกมุมที่สำคัญ คือต้องมีการเรียนรู้ และอยู่อย่างมีสติ
ผู้ก่อตั้งเครือข่าย Design for Disaste กล่าวด้วยว่า ภัยพิบัติเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีมาเรื่อยๆ และคาดว่าจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ฉะนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือการตั้งสติ เพราะพลังของธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่ เราคงไม่สามารถไปต้านอยู่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างมีสติ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และอยู่โดยใช้ความสร้างสรรค์ คิดดี ทำดี แล้วทุกอย่างก็กลับกลายเป็นเรื่องที่ดีได้เอง