- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- บิ๊กแบ๊กลดน้ำเข้ากรุง "โฆษก ศปภ." ยันไม่ทำให้น้ำท่วมนาน
บิ๊กแบ๊กลดน้ำเข้ากรุง "โฆษก ศปภ." ยันไม่ทำให้น้ำท่วมนาน
ดร.อานนท์ คาดไม่เกิน 2 สัปดาห์ ถนนสายหลัก น่าจะกลับมาใช้งานได้ ในพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากบิ๊กแบ๊ก 6 เขต ที่ถูกล้อมรอบด้วยคลองรังสิต คลองประปา คลองลาดพร้าว มาถึงคลองบางซื่อ
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (START) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะโฆษกและนักวิชาการประจำศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยเกี่ยวกับประสิทธิผลของกระสอบทรายยักษ์หรือบิ๊กแบ็กว่า การใช้บิ๊กแบ๊กไม่เชิงเป็นการชะลอน้ำ แต่เป็นการลดปริมาณน้ำที่เข้ามาให้มีความสมดุลและมีปริมาณน้อยตามความสามารถในการสูบออก เพราะถ้าปล่อยให้น้ำเข้ามาเกินขีดความสามารถในการสูบออก น้ำก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็ท่วมเต็มทั้งกรุงเทพฯ สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์ และผู้คนได้รับความเดือดร้อน
“การปล่อยให้เป็นไปตามระบบที่ควรจะเป็น ซึ่งเดิมพื้นที่นี้ควรต้องป้องกันได้ด้วยคันกั้นน้ำตามพระราชดำริ แต่ปรากฏว่ามีสองจุดที่แตก เราก็เพียงแต่ซ่อมส่วนที่ควรจะมี แต่ไม่มี จริงๆแล้วเราไม่สามารถทำได้ 100% เพราะก็ยังมีน้ำที่ล้นออกมาบ้าง แต่ทั้งนี้ก็ระดับน้ำในภาพรวมลดลง 60-70% และพอที่จะรักษา และควบคุมได้ เห็นได้ชัดจากระดับน้ำลดลงที่ดอนเมืองและหลักสี่”
ดร.อานนท์ กล่าวต่อว่า การใช้บิ๊กแบ๊กเป็นการกันไม่ให้น้ำเข้ากรุงเทพฯ โดยน้ำจะไหลผ่านระบบสูบ เพราะกรุงเทพฯชั้นในการจัดการน้ำจะต้องผ่านระบบคลอง และระบบสูบต่างๆ ซึ่งเป็นช่องทางเดียวที่น้ำจะออกนอกกรุงเทพฯได้ แต่ขณะนี้ไม่สามารถเปิดประตูระบายน้ำให้ไหลออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำสูงกว่าระดับน้ำในกรุงเทพฯ
“ลำพังตอนนี้แค่น้ำที่อยู่ในเมืองก็สูบออกแทบไม่ทัน และถ้ายิ่งปล่อยให้เข้ามาเรื่อยๆ จะกลายเป็นว่า น้ำเข้ามามากกว่าออกไป จึงทำให้ระดับน้ำท่วมถึงคอ ซึ่งจริงๆแล้วพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน เป็นพื้นที่ที่มีคันกั้นน้ำอยู่แล้วแต่เดิม แต่เหตุผลที่เราต้องต้านเพราะว่ามีสองจุดที่มันแตก ได้แก่ ทางตอนใต้สะพาน ถนนพหลโยธินข้ามคลองรังสิต และจุดตรงคลองหนึ่งหลังโรงพยาบาลธัญญารักษ์” ดร.อานนท์ กล่าวและว่า แนวคิดนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่เป็นแนวคิดที่มีอยู่เดิม แต่จุดแตกสองจุดนั้นมีขนาดใหญ่และรุนแรง ทำให้น้ำไหลเข้ามาวันละ 150 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินศักยภาพ และไม่สามารถเข้าไปอุดได้ เนื่องจากมีความลึกและเข้าไปลำบาก ก็จึงต้องสร้างแนวรับต่อออกมา ทั้งนี้เหมือนเป็นการซ่อมคันที่แตก
ทั้งนี้ ดร.อานนท์ กล่าวว่า ไม่เข้าใจ การแสดงความเห็นบิ๊กแบ็ค จะทำให้น้ำท่วมนานขึ้นนั้น จะนานได้อย่างไร เพราะน้ำท่วมน้อยลง และการที่บอกว่า น้ำนอกคันจะสูงขึ้นนั้น จะสูงขึ้นได้อย่างไร เพราะน้ำมีระดับเท่ากับที่คลองรังสิต กันอย่างไรก็ต้องไม่มีทางสูงกว่าระดับน้ำในคลองรังสิตได้
"ขณะนี้ระดับน้ำในคลองรังสิตก็ลดลงทุกวัน เราพยายามจัดการน้ำในระบบให้ออกไปจากพื้นที่สำคัญให้ได้มากที่สุด ตรงไหนที่สามารถทำให้แห้งได้ก็จะทำให้แห้ง แต่บางพื้นที่ที่ยังไม่สามารถทำได้ก็จะทำให้ระดับน้ำน้อยที่สุด เพื่อลดการสูญเสีย"
โฆษก ศปภ. กล่าวอีกว่า คนที่อยู่นอกคันจะท่วมนานหรือไม่นาน ไม่ได้เกี่ยวกับบิ๊กแบ๊กเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวกับการจะทำให้อย่างไรให้น้ำลดได้เร็วด้วย ซึ่งฝั่งคลองรังสิตก็เร่งระบายไปทางตะวันออกให้มากขึ้น เราพยายามไปช่วยด้วยการผ่าคันคลองที่คลองเก้า เพื่อจะเร่งลดน้ำในคลองรังสิตลง หรือทางฝั่งตะวันตกก็เร่งลดน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ชะลอน้ำตั้งแต่เขตเจ้าพระยาลงมา เป็นการแก้ปัญหาในภาพใหญ่ ทั้งนี้คาดว่า อีกประมาณไม่เกิน 2 สัปดาห์ ถนนสายหลักก็น่าจะกลับมาใช้งานได้ ในพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากบิ๊กแบ๊ก 6 เขต ที่ถูกล้อมรอบด้วยคลองรังสิต คลองประปา คลองลาดพร้าว มาถึงคลองบางซื่อ
เมื่อถามถึงการปล่อยให้น้ำไหลไปตามธรรมชาติ อาจจะช่วยลดระยะเวลาในการท่วมขังของน้ำได้ โฆษกและนักวิชาการประจำ ศปภ. กล่าวว่า ถ้าหากปล่อยให้น้ำไหลเข้ามาในเมืองกรุงเทพฯ โดยเฉพาะกรุงเทพฯชั้นในนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะให้น้ำหลากเข้ามาได้ เนื่องจากไม่ได้เป็นทุ่งที่ราบ หรือเป็นที่ดินโล่งๆ ที่จะให้น้ำไหลผ่านได้รวดเร็ว แต่พื้นที่เป็นถนน ตึก และมีสิ่งกีดขวางมากมาย ถ้าหากปล่อยให้หลากเข้ามาจะยิ่งทำให้น้ำเดินทางช้า และจะแช่ขังนานเป็นเดือน
“กรุงเทพฯชั้นใน ไม่ใช่พื้นที่ที่จะเราจะปล่อยให้มันผ่านไปเหมือน 200 ปีก่อน ที่เคยเป็นที่โล่ง เป็นพื้นที่ธรรมชาติ ซึ่งทางกายภาพ ทางสังคม และเศรษฐกิจทำไม่ได้ เพราะเป็นพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม ในรูปแบบที่จะปล่อยน้ำให้เข้ามามากๆไม่ได้ ฉะนั้น คงต้องอยู่กับความเป็นจริง ซึ่งหากตัดสินใจว่าจะไม่ใช้พื้นที่เหล่านี้ในทางเศรษฐกิจแล้ว ก็สามารถทำได้ แต่ แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถทำได้ ฉะนั้นวิธีการที่จะทำให้น้ำหลากเข้ากรุงเทพฯ เป็นเพียงการพูดเอามันมากกว่า ไม่ใช่เป็นการพูดอย่างมีความรับผิดชอบ”
ดร.อานนท์ กล่าวถึงปริมาณน้ำตอนนี้เมื่อเทียบกับ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา มวลน้ำมันน้อย ที่มีอยู่ทั้งหมดลดลงมาได้ 1 ใน 3 แล้ว เพราะตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมมีอยู่ประมาณ 1.6 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร แต่ปัจจุบันอยู่อยู่หมื่นเศษๆ และลงทะเลไปแล้ว 5 พันล้านลูกบาศก์เมตร ฉะนั้นจะพูดว่า มีมวลน้ำก้อนใหญ่รออยู่อีกนั้น ไม่เป็นความจริง ที่บอกว่ามีมวลน้ำมหาศาลรออยู่ เป็นเรื่องหนึ่งที่มีคนนำมาพูดโดยไม่มีมูล
"ที่สามารถทำได้ตอนนี้ คือให้น้ำหลากไปในเส้นทางอื่น ซึ่งแม้ให้น้ำหลากไปทางอื่นที่มีความเหมาะสมทางกายภาพมากกว่า แต่ก็ยังมีคนอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว เช่น ฝั่งตะวันออก ก็มีหนองจอก ลาดกระบัง เมื่อจะปล่อยน้ำให้หลากเข้าไปก็ไม่ได้ หรือทำได้ก็ไม่เต็มที่ เพราะมีเงื่อนไขหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลให้การบริหารจัดการยากขึ้นไปอีก ทั้งนี้เราก็พยายามทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในเงื่อนไขที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้กระทบคนน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็ให้เร็วที่สุด"
ดร.อานนท์ กล่าวด้วยว่า วิธีการคล้ายกับที่ อธิบดีกรมชลประทานกล่าว คือ เป็นการเลี้ยงน้ำไว้บนขอบกระด้ง ซึ่งเป็นความจริง เพราะเราไม่สามารถปล่อยน้ำเข้าไปในกระด้งได้ ต้องพยายามเลี้ยงให้ไหลลงทะเลไปได้ และถ้าปล่อยให้ไหลตามธรรมชาติ น้ำก็จะแผ่ออกไป และไม่ได้ช่วยให้ไปเร็วยิ่งกว่าเดิมเท่าไหร่ แต่ว่าจะกระจายได้มากขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วการที่ให้น้ำไหลโดยมีการควบคุม ด้วยการยัดตัวมันเองเข้าไปในระบบลำน้ำจะทำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด