- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ปลอดประสพ รับปาก “เข้มงวด” คุณภาพน้ำ ก่อนเร่งกู้นิคมฯ
ปลอดประสพ รับปาก “เข้มงวด” คุณภาพน้ำ ก่อนเร่งกู้นิคมฯ
รมว.วิทย์ฯ ยันจากนี้จะไม่ให้นิคมฯ “อยู่ผิดที่” ลั่นไม่อยากมี ศปภ.ภาค 2 หน่วยงานรบ. เร่งตั้งทีมสำรวจน้ำ เชื้อโรควุ่น ด้าน “ชาลี” ย้ำผลตรวจค่าน้ำที่ไม่มีแรงงาน-ปชช. ร่วมด้วยเชื่อถือไม่ได้
วันที่ 17 พฤศจิกายน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และประธานอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร จัดประชุมเรื่องร้องเรียน ผลกระทบจากการกู้นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค (บ้านหว้า) อ.บางปะอิน และนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ณ ห้องประชุมศูนย์สันติและความขัดแย้ง อาคารวิทยนิเวศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี นายปลอดประสพ สุรัสวดี ตัวแทน ศปภ. และรมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นักวิชาการประจำ ศปภ. นายชุมพล ชีวะประภานันท์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายดำรง เครือไพบูลย์ สำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สผ. นางสุธิดา อุทะพันธ์ กรมควบคุมโรค นายรังสรรค์ ปิ่นทอง ผู้แทนอธิบดีควบคุมมลพิษ นางเรืองรวี พิชัยกุล มูลนิธิเอเชีย และนายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ร่วมประชุม
นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา มีผู้ร้องเรียนถึงผลกระทบต่อสถานการณ์กู้นิคมอุตสาหกรรม กสม.จึงทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อม เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและความเข้าใจต่อการกู้นิคมอุตสาหกรรม ในขณะนี้พบปัญหาว่า สิ่งที่ยังขาด คือ ข้อมูลทางราชการ
“ไม่ได้หมายความว่า กสม.อยากจะไปสอดรู้สอดเห็นในข้อมูล แต่เพื่อไม่ให้เกิดภาวะที่ไม่มีความมั่นใจในการทำงานของภาครัฐ และให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการสูบน้ำของการกู้นิคมอย่างไรบ้าง เพราะมีผลกระทบทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งขณะนี้ยังไม่รู้ว่า ทางราชการจะให้ความมั่นใจในความอยู่รอดปลอดภัย มีความมั่นคงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ได้อย่างไร กสม.จึงต้องทำเรื่องนี้ให้เปิดเผยและเข้าใจตรงกัน เพื่อไม่ให้เกิดกรณีขัดแย้งอย่างบิ๊กแบ็กและการเปิดปิดประตูน้ำ ที่มาจากรากฐานความไม่เข้าใจกัน”
กรรมการกสม. กล่าวต่อว่า กสม.พยายามทำให้เกิดนโยบายที่มีความเชื่อมโยงการทำงานอย่างเป็นระบบระหว่างหน่วยงาน เกิดกับรับรู้ข้อมูลข่าวสารของชุมชนและความมั่นใจการทำงานของภาครัฐ ทั้งพื้นที่ในโรงงานและนอกโรงงาน ซึ่งข้อมูลที่พบตอนนี้ แต่ละจังหวัดได้ตั้งคณะทำงานกันภายใน แต่ขาดความมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น และนักวิชาการเฉพาะด้าน
“การทำงานอยากให้นึกถึงหลักสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของภาคประชาชน ต้องให้ความสำคัญและมีส่วนร่วม ประชาชนไม่ได้อยากงอมืองอเท้ารับของแจกอย่างเดียว ศปภ.น่าจะตั้งกองทุนฟื้นฟูเยียวยา ให้ กยน.พิจารณาเพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมทั้งหมด”
หน่วยงานรบ.เร่งตรวจน้ำ เช็คโรคระบาด
ขณะที่กรมโรงงานฯ นายชุมพล กล่าวว่า ตั้งแต่ทราบปัญหาก็ได้เริ่มมาตรการป้องกัน คือ เตือนโรงงานอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งที่มีแนวโน้มว่าน้ำจะท่วม ให้ระวัดระวังและขนย้ายวัตถุดิบ สารเคมี กากของเสียออกนอกโรงงานโดยด่วน ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
“พอน้ำเข้าท่วมนิคมฯ ทั้ง 7 แห่ง ก็เร่งที่จะกู้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล ขณะเดียวกันทางสิ่งแวดล้อมก็ไม่ได้ละเลย ทางกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้หารือร่วมกันได้ข้อสรุปว่า การกอบกู้ฟื้นฟู ทั้ง 7 แห่งมีความโปร่ง ไม่มีผลกระทบต่อภาคประชาชน จึงตั้งคณะกรรมการอำนวยการควบคุมคุณภาพน้ำที่ระบายออกจากพื้นที่ท่วมขังในนิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน และมีจุดประสงค์เพื่อกำหนดนโยบาย ติดตามและกอบกู้ฟื้นฟูนิคมฯ ซึ่งการดำเนินการได้ดำเนินการไปล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ต้นเดือน ผลการตรวจพบว่า ไม่มีสารหรือโลหะหนักใดๆ ปนเปื้อน”
รองอธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวถึงสิ่งที่จะทำจากนี้ คณะทำงานในระดับสำนักของหน่วยงานนี้จะออกไปเก็บตัวอย่างน้ำทุกวัน เพื่อดูผลวิเคราะห์วันต่อวัน หากพบจะหยุดทันที จะไปทุกวันจนกว่าจะสิ้นเดือนแล้วประเมินอีกครั้ง 2 แห่งที่ยังไม่สูบจะออกไปติดตามสภาพน้ำตลอด ส่วนแรกจะมีการวิเคราะห์โลหะหนักและไซยาไนด์ และสารอันตราย แคดเมียม โครเมียม ปรอท แมงกานีส
ด้านกรมควบคุมมลพิษ นายรังสรรค์ กล่าวว่า ได้ทำการตรวจสอบอุตสาหกรรมไปแล้วทั้งหมด 6 แห่ง ล่าสุดที่นิคมฯ แฟคทอรีแลนด์ พบว่า ปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำ หรือ ดีโอ (Dissolved Oxygen: DO) มีค่าใกล้เคียงระดับต่ำกว่ากำหนด ที่จะหมายถึง ระดับน้ำเสีย ซึ่งเป็นผลมาจากน้ำแช่ขัง ไม่ใช่กระบวนการผลิต ทั้งนี้ ตรวจสอบไม่พบสารละลาย หรือโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำ อันจะก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนโดยรอบ
“ขณะนี้ที่เริ่มมีการสูบน้ำออกจากนิคมฯ ต่างๆ ได้ เนื่องจากมีการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว โดยที่ผลการตรวจสอบในนิคมฯ ต่างๆ ได้เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษ และเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนมากขึ้น ก็จะเพิ่มให้ภาคประชาชนหรือนักวิชาการเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบมากขึ้นด้วย”
ส่วนกรมควบคุมโรค นางสุธิดา กล่าวว่า กรมควบคุมโรคและกรมอนามัยได้ร่วมกันตรวจสอบเชื้อโรคและแบคทีเรีย เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่มากับน้ำท่วม รวมทั้งเฝ้าระวังคุณภาพในชุมชน เช่น คุณภาพน้ำ ขณะนี้ได้เริ่มตรวจสอบแบคทีเรียและเชื้อโรคไปบ้างแล้วที่นิคมฯ แฟคทอรีแลนด์ และจัดแบ่งทีมงาน 4 ทีมร่วมลงพื้นที่เก็บข้อมูลมาตรวจสอบหาเชื้อโรคทุกวัน
ภาคแรงงาน-ประชาชน ขอร่วมตรวจสอบด้วย
ขณะที่ด้านแรงงาน นายชาลี กล่าวว่า คณะกรรมการที่หลายหน่วยงานในแต่ละจังหวัดตั้งขึ้นมา ต่างไม่ได้มีชุมชน ลูกจ้างเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ดังนั้น ผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำต่างๆ เหล่านี้ จะสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ เรื่องชีวิตของคนต้องตรวจสอบให้แน่ชัด เช่น บ่อบำบัดน้ำเสียในนิคมฯ ที่ผ่านมาได้มีมาตรการป้องกันหรือไม่ รวมทั้งชุมชนส่วนใหญ่และแรงงานก็ไม่สามารถเข้าถึงการเผยแพร่ข้อมูลการตรวจสอบคุณภาพผ่านเว็บไซต์ได้ เรื่องดังกล่าวนี้ เป็นการล่าช้าของทางภาครัฐและกระทรวงที่รับผิดชอบ
ด้านนางเรืองรวี ตัวแทนจากมูลนิธิเอเชีย กล่าวว่า เห็นตรงกันกับ ประธาน คสรท. ที่ควรจะมีนักวิชาการ แรงงานและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการต่างๆ เพื่อความโปร่งใส เนื่องจากประชาชนจะเป็นกระบอกเสียงให้เกิดความเข้าใจอันดีที่สุด
“คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาล่าสุด เช่น กยอ. กยน. ก็ควรจะมีผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และประชาชนเข้าไปด้วย จะได้ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามแบบนี้อีก ถ้าทำส่วนนี้อย่างดีแล้ว ที่จะมีการฟ้องร้องต่อจากนี้ การต่อสู้ทางกฎหมายก็จะชัดเจน อีกประการ คือ การรับเรื่องร้องเรียนและดำเนินการ โดยเฉพาะชาวบ้านนอกนิคม ที่จะต้องอยู่ในน้ำท่วมขังนานกว่าเดิมนั้น จะมีระบบเยียวยาอย่างไร”
ในช่วงท้าย นายปลอดประสพ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้ ไม่อยากมี ศปภ. ภาค 2 คือปีหน้าเกิดความเสียหายขึ้นอีก เพราะความเสียหายครั้งนี้กินเนื้อที่กว่าครึ่งประเทศ และกระทบยาวนานตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน ก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาทำงานด้วยซ้ำ แต่ศปภ.ก็จะช่วยอย่างเต็มที่เท่าที่ช่วยได้ และจะทำอย่างต่อเนื่อง ให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
“ในด้านเศรษฐกิจ วิธีลดผลกระทบถูกคิดถูกทำแตกต่างกันมาก บางส่วนต้องการให้ป้องกันโรงพยาบาล สนามบิน นิคมฯ แหล่งวัฒนธรรม หรือกทม.ชั้นใน ซึ่งต่างก็มีเหตุผลและน้ำหนักที่ต่างกัน ยังเป็นเรื่องโลกแตกจนทุกวันนี้ นิคมฯ ถูกมองโดยตนเองว่าเป็นเรื่องมูลค่า และเป็นเศรษฐกิจของประเทศ ตัวเลขคนว่างงานเป็นแสน ถ้าไม่แก้ไขดีๆ ก็อาจจะเพิ่มเหยียบล้าน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องหนักใจของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องสังคม เช่น กรณีบิ๊กแบ็ก การเปิดปิดประตูน้ำ”
ตัวแทน ศปภ. กล่าวต่อว่า ประเด็นเรื่องผลกระทบจากสถานการณ์การกู้นิคมฯ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ตนเคารพในคำร้องและความยากลำบากของประชาชน แต่นับว่าเป็นประเด็นที่เล็กมาก ยังมีเรื่องที่ใหญ่ มีภาพกว้างกว่านั้นอีกมาก ถ้าจะยืดเยื้อไปอีก 3 เดือนแล้วน้ำเสีย น้ำดำ เหม็น มียุง จะเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นเรื่องที่แอบกังวลอยู่ในใจ แต่แม้เรื่องผลกระทบจากการกู้นิคมฯ จะเป็นเรื่องเล็ก แต่ผู้เกี่ยวข้องก็ต้องให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา โดยพร้อมจะนำเรื่องไปสานต่อและนำคำตอบมาให้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นคำตอบในทางบวก
นายปลอดประสพ กล่าวด้วยว่า จากนี้ต้องมาร่วมกันตั้งประเด็นใหม่ คือ อย่าให้นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ มาตั้งอยู่ผิดที่ผิดทาง ต้องช่วยกันอย่างจริงจัง ซึ่งก็พร้อมจะผลักดันเรื่องนี้อย่างแน่นอน
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : ผลการตรวจสอบการปนเปื้อนมลพิษจากสารเคมีและคุณภาพน้ำในพื้นที่นิคมฯ จากผลกระทบจากอุทกภัย
ข้อสรุปการประชุม เรื่อง การกู้นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดปทุมธานี