- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- กก.มูลนิธิชัยพัฒนา แนะผู้เชี่ยวชาญต่อยอดแนวพระราชดำริแก้น้ำท่วม
กก.มูลนิธิชัยพัฒนา แนะผู้เชี่ยวชาญต่อยอดแนวพระราชดำริแก้น้ำท่วม
“จริย์ ตุลยานนท์” ถอดบทเรียนพระราชดำริแก้น้ำท่วมปี 2538 แนะเร่งผันน้ำฝั่งตะวันตก-ออกลงทะเลโดยเร็ว ชี้ กทม.รับน้ำได้ แต่อย่าให้เสียหายมาก จี้ปรับปรุงคูคลองเพิ่มศักยภาพรับน้ำและเป็นทางผ่านน้ำ
วันที่ 2 ธันวาคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องจากพระราชดำริ (กปร.) และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธรณะแห่งประเทศไทย (สสท.) จัดประชุมวิชาการ พระราชดำริ : แสงส่องทางออกจากวิกฤติน้ำท่วม ณ รร.เซ็นทาราแกรนด์คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โดยภายในงานมี นายจริย์ ตุลยานนท์ กรรมการมูลนิธิชัยพัฒนาและอดีตอธิบดีกรมชลประทาน ปาฐกถาพอเศษ เรื่อง “หลักคิด หลักทำ ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการบรรเทาอุทกภัยเมื่อปี 2538”
นายจริย์ กล่าวตอนหนึ่งว่า พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับเรื่องน้ำ ให้มองว่าน้ำเป็นเรื่องธรรมชาติ และเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในประเทศ ที่จะต้องทำให้เกิดความสมดุล ไม่มากจนเกิดอุทกภัยและไม่น้อยจนเกิดภัยแล้ง ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการและคนทำงานด้านน้ำจะมีความรู้เรื่องน้ำอย่างเดียวไม่เพียงพอแล้ว จำเป็นต้องรู้เรื่องทะเล และเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย
“การระบายน้ำ เป็นหลักการที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาน้ำ และอุทกภัย หลักในการระบายน้ำ สำหรับน้ำไหล ต้องพยายามผันน้ำลงทะเล เช่น มวลน้ำที่ท่วมอยู่ที่อยุธยา ต้องแบ่งน้ำส่วนใหญ่ลงแม่น้ำเจ้าพระยาให้เร็วที่สุด” นายจริย์ กล่าว และว่า ในปี พ.ศ. 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งถึงการระบายน้ำในฝั่งตะวันออกภายหลังที่น้ำไหลไปตามเขตอุทกภัยว่า เรื่องสำคัญ ต้องเร่งเอามวลน้ำที่กำลังท่วมลงทะเลให้ได้มากที่สุด ซึ่งในขณะนั้น มีคลองชายทะเลเป็นแก้มลิง โดยลดระดับน้ำในแก้มลิงให้มีระดับต่ำที่สุด เพื่อให้มวลน้ำที่จะเร่งผันลงมามีที่รับมากขึ้นและไหลลงได้เร็วขึ้น
“ควรที่จะปรับปรุงใต้คอสะพาน ถนนหนทางและทางรถไฟ ตั้งแต่คลองหกวา คลองแสนแสบ คลองประเวศและคลองสำโรงให้มีขีดความสามารถในการรับน้ำและเป็นทางผ่านน้ำได้มากขึ้น ทั้งนี้ กทม. ต้องรับน้ำเข้ามาด้วย เพียงแต่อย่าให้รับจนเสียหายมาก และแม้การระบายน้ำทางตะวันออกลงสู่ชายทะเลจะเป็นเรื่องยาก ก็ต้องหาทางทำฟลัดเวย์ตั้งแต่คลองลาดกระบังลงไป ที่ผ่านมาทำไม่สำเร็จเพราะเรื่องทางสังคม แต่ก็สามารถขยับไปที่คลอง 1-14 ได้ ส่วนฝั่งตะวันตกต้องปรับปรุงตั้งแต่คลองทวีวัฒนา ภาษีเจริญและสนามไชยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อให้สามารถรับน้ำได้มากขึ้น”
กรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวถึงบทเรียนในการทำงานด้านอุทกภัยในปี 2538 ต่อว่า เรื่องข้อมูลที่ถูกต้องและความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญ ในครั้งนั้นทางกองทัพเข้ามาช่วยทำแผนที่ทางน้ำไหลอย่างละเอียดและถูกต้อง ตั้งแต่รังสิตไปสู่คลองชายทะเล เพื่อให้สามารถดูได้ว่าทางน้ำไหลมีจุดติดขัดที่ใดบ้าง ด้านกองทัพเรือ ก็เข้ามาช่วยเร่งน้ำทั้งในฝั่งตะวันตกและตะวันออก ส่วนกองทัพบกรับผิดชอบแม่น้ำท่าจีนให้สามารถระบายได้มากที่สุด เหล่านี้เป็นหลักการ ส่วนภาคปฏิบัติก็เป็นเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต้องมาร่วมกันคิดร่วมกันทำ
“ในเรื่องการระบายน้ำ นักวิชาการด้านน้ำ ต้องมองตั้งแต่ปากอ่าวไปจนถึงเชียงใหม่ว่ามีจุดกีดขวางทางน้ำจุดใดบ้าง เขื่อนต่างๆ ที่กักเก็บมีสถานะอย่างไร จุดเล็กๆ น้อยๆ อย่าง คลองลัดโพธิ์ ก็เป็นจุดระบายสำคัญที่ต้องดูให้รอบคอบ ระยะเวลาในการไหลของน้ำ รวมทั้งระดับจุดสูงสุดน้ำขึ้นน้ำลงของอ่าวไทย ก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษา เพื่อที่จะจัดน้ำให้พอดี โดยยึดเป็นหลักว่าจุดต่างๆ เหล่านี้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้วหรือไม่ เพราะหากทำได้เต็มกำลังจะช่วยแก้สถานการณ์ได้มาก”
อดีตอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงโครงการเขื่อนขุนด่านปราการชลด้วยว่า หากเสร็จสิ้น จะได้รับอานิสงค์มาก น้ำในแม่น้ำบางปะกงจะลดน้อยลง และสามารถผันน้ำจากฝั่งรังสิตลงมาได้อีกมาก ระบบชลประทานออกแบบมาก่อน 2500 เป็นคลองส่งน้ำ ให้ใหญ่ ต้องปรับปรุงคลองส่งน้ำใหญ่ๆ บางคลองให้เป็นคลองระบายน้ำด้วย เราต้องทำการต่อยอดและเพิ่มเติมโครงการอื่นๆ
“มาตรการที่ไม่เกี่ยวกับโครงสร้างก็เป็นสิ่งสำคัญ ในสมัยก่อนกรณีพิพาททางความคิดไม่ได้รุนแรงมาก แต่เจ้าหน้าที่หรือผู้รับผิดชอบได้ออกไปพูดคุย สื่อสารและอธิบายให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์โดยตลอด เช่น พื้นที่ที่ใดเป็นจุดเสี่ยงและจะต้องรับน้ำนานเท่าใด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก” นายจริย์ กล่าว และว่า โครงการในพระราชดำริเป็นหลักการ ส่วนภาคปฏิบัติจะให้ได้ผลขึ้นอยู่กับผู้เชี่ยวชาญจะร่วมกันทำ และระดมแนวความคิดให้เกิดประโยชน์และต่อยอด ดัดแปลงแนวพระราชดำริเหล่านี้ให้เข้ารูปเข้าร่างตามภัยธรรมชาติในแต่ละปีที่มีความรุนแรงอย่างคาดไม่ได้