- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ” จี้เลิกพัฒนาเมืองในเขตน้ำท่วม แนะบริหารสมดุลการใช้ที่ดิน
“ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ” จี้เลิกพัฒนาเมืองในเขตน้ำท่วม แนะบริหารสมดุลการใช้ที่ดิน
อดีตอาจารย์มก. แนะหลักบริหารจัดการน้ำควรสอดคล้องธรรมชาติ เชื่อเสียหายน้อย ยันโอกาสเกิดน้ำท่วมอีกแน่ จี้ควบคุมการใช้ที่ดินให้เหมาะสม ด้านดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ คาดระบายน้ำเสร็จไม่เกิน ม.ค. 55
เมื่อเร็วๆ นี้ ในงานประชุมวิชาการ พระราชดำริ : แสงส่องทางออกจากวิกฤติน้ำท่วม ที่จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องจากพระราชดำริ (กปร.) และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธรณะแห่งประเทศไทย (สสท.) ณ รร.เซ็นทาราแกรนด์คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ รศ.ดร.ชูเกียรติ ทรัพย์ไพศาล อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวในหัวข้อ การบริหารจัดการอุทกภัยขนาดกลางและขนาดใหญ่ตามแนวพระราชดำริ
รศ.ดร.ชูเกียรติ กล่าวในตอนหนึ่งถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาว่า ธรรมชาติของแม่น้ำ ประกอบด้วย 8 ลุ่มน้ำย่อย ได้แก่ ปิง วัง ยม น่าน สะแกกัง ท่าจีน ป่าสักและเจ้าพระยา มีพื้นที่ทั้งสิ้น 157,925 ตารางกิโลเมตร และในทุกปีจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมล้นตลิ่ง โดยในพื้นที่ที่น้ำท่วมถึงนั้นเรียกว่าฟลัดเพลน (Floodplain) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 35,000 ตร.กม. ประกอบด้วย พื้นที่ชุมชนริมน้ำ ซึ่งมีประชากร 12 ล้านคน พื้นที่ชลประทาน มีประชากร 3 ล้านคน และพื้นที่เกษตรกรรมชนบท มีประชากร 2 ล้านคน
ส่วนสาเหตุการเกิดอุทกภัยในปีนี้ รศ.ชูเกียรติ กล่าวว่า เนื่องจากมีปริมาณน้ำมาก ในปริมาณที่เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ รวมกัน ทำให้เกินขีดความสามารถของแม่น้ำ ขณะที่การพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดิน ทั้งการพัฒนาเมือง พื้นที่การเกษตรก็รุกเข้าไปในพื้นที่น้ำท่วมถึง
“คนเข้าไปอยู่ในที่น้ำ เช่น การพัฒนาชุมชนเมืองขนาดใหญ่ของจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ สมุทรปราการ รวมทั้งนิคมอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะโรจนะ สหรัตนนคร บางประอิน ก็เข้าไปอยู่ในที่น้ำท่วมถึงทั้งสิ้น จึงเป็นพื้นที่เสี่ยงประสบอุทกภัย ดังนั้น เมื่อเราเข้าไปอยู่ในพื้นที่น้ำ สิ่งที่ต้องคิดคือ เราจะยอมรับกติกาของน้ำหรือไม่”
รศ.ชูเกียรติ กล่าวต่อว่า น้ำท่วมไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการประมาณการณ์ความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี 2554 เทียบกับปี 2538 พบว่า ความเสียหายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่น้ำท่วมถึง โดยจำแนกเป็นพื้นที่ชุมชน อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ประมาณ 10% แต่ก่อให้เกิดความเสียหายประมาณ 91% ขณะที่พื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ฟลัดเพลนประมาณ 80% แต่ก่อให้เกิดความเสียหาย 5% ส่วนพื้นที่สาธารณะและพื้นที่อื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในฟลัดเพลนอีก 10% สร้างความเสียหายประมาณ 4%
“ความเสียหายดังกล่าว สร้างความทุกข์ระทมให้กับประชาชนจำนวนมาก ดังนั้น การมองปัญหาต้องมองในภาพรวมของประเทศ ไม่ใช่แค่ระดับท้องถิ่นหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง อีกทั้งต้องมีการบริหารความพอดีของการใช้ที่ดิน ระหว่างพื้นที่ชุมชน อุตสาหกรรม กับพื้นที่เกษตรกรรม”
สำหรับยุทธศาสตร์การแก้ไขอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยานั้น รศ.ชูเกียรติ กล่าวว่า ต้องบริหารจัดการให้สอดคล้องกับธรรมชาติและเกิดความเสียหายน้อย เนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยขนาดใหญ่เช่นนี้ มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในทุกๆ 10-20 ปี น้ำต้องมีที่อยู่ น้ำต้องมีที่ไป จึงต้องควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างจริงจังให้เหมาะสม สมดุลกับทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ตามธรรมชาติแบบพึ่งพา เกื้อกูล และยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
“นอกจากนี้ มาตรการบรรเทาอุทกภัยในช่วงที่ผ่าน เราเน้นกันมากเรื่องมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งคันยกระดับปิดล้อมพื้นที่ชุมชน การปรับปรุงสภาพลำน้ำและคันป้องกันน้ำล้นตลิ่ง แอ่งชะลอการไหล เขื่อนเก็บกักน้ำ ส่วนที่พูดกันมากขณะนี้ คือ ช่องทางผันน้ำหลาก (Flood Diversion channel) ที่ลงมือทำไปแล้วในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถทำได้ แต่หากจะทำต้องการระดมทุนและความร่วมมือ แบบเน้นผลประโยชน์ร่วมกันของทุกภาคส่วน เพราะต้องใช้ที่ดิน และเงินลงทุนสูง”
อย่างไรก็ตาม รศ.ชูเกียรติ กล่าวด้วยว่า มาตรการใช้สิ่งก่อสร้างนั้นเป็นเพียงตัวเสริมเท่านั้น หากจะแก้ปัญหาหรือบรรเทาอุทกภัยได้นั้น มาตรการที่ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะควบคุมการสูบน้ำบาดาล การแจ้งเตือนอุทกภัย การเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะแนวทางการพัฒนาที่ดิน เพราะขณะนี้ หากไปดูบัญชีรายชื่อผู้ที่ถือครองพื้นที่ฟลัดเวย์ของในหลวง จะพบทันทีว่า 5 เจ้าพ่อใหญ่เป็นใคร
ส่วนเรื่องการบริหารจัดการอุทกภัยครั้งนี้ เป็นความผิดพลาดของภาครัฐหรือไม่ รศ.ชูเกียรติ กล่าวว่า ปีนี้ปริมาณน้ำมีมาก เรื่องธรรมชาติจึงเป็นปัญหาส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันก็เกิดจากฝีมือมนุษย์ที่เข้าไปรื้อคันดิน และบิ๊กแบ็ก ส่วนที่สื่อชอบนำเสนอกันมากว่าเป็นเพราะการบริหารผิดพลาดของรัฐบาลนั้น ตนอยากให้ระมัดระวังเพราะเกรงว่าจะมีผลต่อการเคลมของบริษัทประกันภัย
“การบริหารจัดการน้ำในบ้านเรา ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ภาคประชาสังคม ควรมีองค์กรกลางขึ้นมาชี้แจ้ง เมื่อเกิดเหตุการณ์อุทกภัยขนาดใหญ่จะดำเนินงานหรือจะจัดการอย่างไร ไม่ใช่หน่วยงานหรือสื่อ อีกทั้งงบประมาณต่างๆ ที่จัดสรรไว้เพื่อจัดการน้ำต้องนำมาใช้ในการแก้ปัญหา
ปุจฉา วิเคราะห์วิกฤติอุทกภัยปี 54
ขณะที่ รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในหัวข้อ ปุจฉา วิเคราะห์วิกฤติอุทกภัยปี 2554 ว่า สถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ หากวิเคราะห์ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนภูมิพล ในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา พบว่า มีสูงถึง 11,258 ล้านลบ.ม. ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ย 54.50 % โดยจะปล่อยน้ำมามากในช่วงเดือนตุลาคม ในปริมาณ 1,987.81 ล้านลบ.ม. ซึ่งขณะนั้นความจุเก็บกักของอ่าง เท่ากับ 13,287 ล้านลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 98.69 ของความจุของอ่างฯ
สำหรับเขื่อนสิริกิติ์ รศ.ดร.สุจริต กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนมีปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนฯ สูงถึง10,234 ล้านลบ.ม. ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ย 44.09% โดยช่วงที่มีการปล่อยน้ำมากที่สุด คือ ช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน ปริมาณน้ำส่วนใหญ่จะถูกปล่อยออกมาในช่วงเดือนกันยายน เท่ากับ 1,830.5 ล้านลบ.ม. ในขณะที่ความจุของการเก็บกักในอ่างมีอยู่ 9,118 ล้านลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 95.88 ของความจุของอ่างฯ
ส่วนสาเหตุของการเกิดภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่นี้ รศ.ดร.สุจริต วิเคราะห์ว่า เกิดจากลักษณะของฝน และปริมาณฝน ซึ่งเป็นเหตุธรรมชาติ ทั้งนี้ ยังเกิดจากการบริหารน้ำเพื่อการชลประทาน การเสียหายของอาคารบังคับน้ำ ระบบเตือนภัยไม่ทันการณ์และระบบช่วยเหลือไม่เป็นระบบ ส่งผลต่อความเสียหายในวงกว้าง รวมถึงความเชื่อมั่นของประเทศ
เมื่อถามถึงระยะเวลาโดยประมาณในการระบายน้ำ รศ.ดร.สุจริต กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ตอนบน พอคาดการณ์ได้ว่า ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป เมื่อไม่มีฝนตกในพื้นที่และความสามารถในการระบายออกเท่ากับ 3,500 ลบ.ม.ต่อวินาที และปริมาณน้ำสะสมในเดือนตุลาคมเท่ากับ 6,449 ล้านลบ.ม. จะทำให้ระยะเวลาที่น้ำจะหมดจากพื้นที่จะใช้เวลาเท่ากับ 21 วัน คือในช่วง ปลายเดือนพฤศจิกายน น้ำที่สะสมจะไหลออกจากพื้นที่นี้ได้หมด
“สำหรับพื้นที่ตอนล่าง คาดว่า หากไม่มีฝนตกในพื้นที่ และความสามารถในการระบายน้ำออกยังเท่ากับเดือนตุลาคม คือ 9,674 ลบ.ม.ต่อวินาทีแล้ว หากปริมาณน้ำสะสมในเดือนตุลาคมเท่ากับ 14,865 ล้านลบ.ม. รวมกับปริมาณน้ำที่ระบายจากพื้นที่ตอนบน 6,449 ล้านลบ.ม. ระยะเวลาที่น้ำจะหมดจากพื้นที่จะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน 1 สัปดาห์ นั่นคือ ในต้นเดือนมกราคม น้ำที่สะสมจะไหลออกจาพื้นที่นี้ได้หมด ในภาพรวมจึงคาดได้ว่าการระบายน้ำจากนี้จะเสร็จสิ้นภายใน 1-2 เดือนนับจากเดือนพฤศจิกายน”
รศ.ดร.สุจริต กล่าวด้วยว่า ประเด็นที่ควรศึกษาต่อจากนี้ คือ การวางระบบระบายน้ำ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด จะวางระบบการผันน้ำอย่างไร อีกทั้ง ระบบการเตือนภัยมีความพร้อมแล้วหรือไม่ มาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาจะเป็นอย่างไร และประการสำคัญ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาได้อย่างไร