- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- เตรียมความพร้อม ‘อุดมศึกษาไทย’ สู่ประชาคมอาเซียน
เตรียมความพร้อม ‘อุดมศึกษาไทย’ สู่ประชาคมอาเซียน
ในปี พ.ศ.2558 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะต้องมีการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่เพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมให้กับกำลัง "คน' ซึ่งแน่นอนเรื่องดังกล่าว การศึกษามีเอี่ยวเต็มๆ โต้โผใหญ่แห่งแวดวงอุดมศึกษาไทย ไม่รอช้าเปิดแนวคิด กลเม็ดเด็ดรับมือประชาคมอาเซียน
ใครมีความคิดเห็นอย่างไรติดตามได้นับจากบรรทัดนี้...
ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย
"สิ่งที่มหาวิยาลัยต้องเร่งพัฒนาอันดับแรก เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนคือ การพัฒนาด้านวิทย์-เทคโนโลยี"
"สถาบันอุดมศึกษาในช่วงต่อจากนี้ จะต้องปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์และกระบวนทัศน์เสียใหม่ ต้องเป็นคลังสมอง สร้างสติ ปัญญาให้สังคม โดยสิ่งหนึ่งที่มหาวิยาลัยของรัฐกว่า 80 แห่ง จะต้องเร่งรัดพัฒนาเป็นอันดับแรก เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน คือ การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and technology) เพราะเมื่อดูผลการจัดอันดับด้านเทคโนโลยีพบว่า ประเทศไทยตกเป็นรองประเทศสิงคโปร์ มาเลเซียอยู่มาก ทั้งๆ ที่อยู่ในประชาคมเดียวกัน
หรือหากเปรียบเทียบในเวทีระดับโลกจะพบว่า โครงสร้างพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ของไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 – 2551 ติดอันดับรั้งท้ายตลอดมา เอาเป็นว่าจะสู้เขาได้ ประเทศต้องพัฒนาในด้านดังกล่าว แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และศิลปะศาสตร์อีกด้วย เพื่อประเทศจะได้มีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันในส่วนของการเรียนการสอนนั้น มหาวิทยาลัยต้องมุ่งที่จะผลิตกำลังคนระดับสูง หรือที่เรียกกันว่า ‘แรงงานความรู้’ (skill worker หรือ knowledge worker) ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างก็คงต้องช่วยกันคิด ช่วยกันปรับปรุงหลักสูตรว่าจะเตรียมตัวอย่างไร ชาวพุทธที่จะเข้าไปอยู่ในสังคมมุสลิมจะทำอย่างไร
นอกจากนี้ ประเทศไทยจะต้องเน้นสร้างงานวิจัยของตนเอง เพราะจากประสบการณ์เมื่อปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตต้มยำกุ้ง พร้อมๆ กับที่เกาหลีเกิดวิกฤตกิมจิ แต่ข้อเท็จจริงพบว่า โรคกิมจิฟื้นตัวได้เร็วกว่า นั่นเป็นเพราะบ้านเราไม่มีฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นของตนเอง มีงานวิจัยน้อย
ส่วนความมุ่งมั่นของสถาบันอุดมศึกษาไทยในระดับอาเซียน อย่างน้อยต้องได้มาตรฐานอาเซียน หรือมาตรฐานระดับโลก ซึ่งแน่นอนว่า การพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาจำนวนทั้งสิ้นกว่า 159 แห่ง ทั้งในส่วนของมหาวิทยาลัยภาครัฐและเอกชนให้ได้มาตรฐานสากลทุกแห่ง คงเป็นไม่ได้ยาก อาจต้องดึงแต่ละด้านที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ มีความสามารถ มีความพร้อมมาจัดทำมาตรฐานเสียก่อน
ขณะเดียวกันการที่จะขยับชั้นมหาวิทยาลัยในประชาคมอาเซียนให้ได้มาตรฐานระดับสากล คงต้องอาศัยความเป็นเลิศทางงานวิจัยและคุณภาพของคณาจารย์ที่มีการเชื่อมโยงเครือข่ายในระดับชาติ พร้อมทั้งปรับหลักสูตรให้มีความเป็นสากล เพื่อสร้างความสมดุลในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่มีประชากรรวมกันทั้งสิ้น 600 ล้านคน
“เราคงต้องมีการประสานความร่วมมือด้านการศึกษาในระดับอาเซียน เช่น จัดตั้ง ASEAN Study มีการปรับแก้เรื่องการเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่มีการเขย่งกันอยู่ ยกตัวอย่างประเทศฟิลิปปินส์เด็กๆ จะเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยเมื่อจบมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 แต่ประเทศไทย เวียดนาม สิงคโปร์ต้องจบมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ก่อนถึงจะเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ ดังนั้น ควรจะปรับแก้เรื่องดังกล่าวให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน”
ผมอยากชี้ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องราวของประชาคมอาเซียน 10 ประเทศเท่านั้น หากมองเพิ่มเติมในส่วนของอาเซียนบวกสาม ที่มีจีน ร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกจะพบว่า บ้านเราต้องมีการปรับเปลี่ยนอีกเช่นกัน เพราะจากสัดส่วนเด็กไทยที่ไปเรียนต่อยังประเทศจีนในปี พ.ศ. 2550 จำนวนประมาณ 7,300 คน เมื่อเทียบกับสัดส่วนนักศึกษาชาวจีนที่เข้ามาเรียนต่อในประเทศไทยอัตราส่วน 1:1 จะพบว่า ไม่แฟร์เลย เพราะสัดส่วนของนักเรียนทั้งสองกลุ่มไล่เลี่ยกัน ทั้งที่จีนมีประชากรมากกว่าไทยถึง 20 เท่า
ดังนั้น นักศึกษาจีนในประเทศไทยน่าจะมีจำนวนถึง 200,000 คน แต่ทั้งนี้ เราคงต้องย้อนมองดูตนเองด้วยว่า บ้านเรามีบรรยากาศที่จะดึงดูดคนเหล่านั้นพอหรือไม่
ท้ายนี้ หากเราอยากให้คนไทยเป็นผู้แพ้ชนะ เราคงต้องสร้างความเข้าใจที่ว่า มันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่เราจะเกิดมาเป็น "เสือ" หรือ"สมัน" แต่สิ่งที่ต้องตระหนักคือ การเร่งฝีเท้าออกแรงวิ่งให้เร็วกว่าคู่แข่งขันเป็นเรื่องสำคัญของการอยู่รอด"
รศ.ดร.นำยุทธ์ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
และประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
"อาจารย์ต้องร่วมออกแรง ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาระของฝ่ายบริหารแต่เพียงผู้เดียว"
"ผมมีคำถามข้อหนึ่ง ทำไมต้องรอให้ประชาคมอาเซียนมากระตุ้นเรา แต่เรากลับไม่แก้ไขในสิ่งที่เป็นอยู่ ทั้งเรื่องคุณภาพ การร่วมกันรับผิดชอบ อีกทั้งทุกวันนี้ในเรื่องการเคลื่อนไหวของตลาดแรงงาน ไม่ต้องรอให้เปิดประชาคมอาเซียน ผมก็เชื่อว่า ในบ้านเราก็มีการเคลื่อนไหวของตลาดแรงงานอยู่แล้ว เพราะขณะนี้มีแรงงานพม่าจำนวนไม่น้อยที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย
แต่สิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้คือ เมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียน การเคลื่อนย้ายฐานอุตสาหกรรม ไปยังประเทศที่มีการลงทุนด้านแรงงานราคาถูก มีทรัพยากร รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แรงงานที่เรานำเข้าจากพม่ามา ซึ่งมีความสามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย พม่า อังกฤษ อาจถูกดึงตัวกลับประเทศ ถามว่า โรงงานไทยจะทำอย่างไร การไหวตัวและการปรับตัวจะเท่าทันหรือไม่
นอกจากนี้ อุดมศึกษายังใส่ใจเฉพาะเรื่องประชาคมอาเซียน แต่ไม่ได้มองเลยว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่เชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมหรือไม่ อย่างไร ขณะเดียวกันมีความเชื่อมโยงกับมาตรฐานวิชาชีพมากน้อยเพียงใด เพราะต่อไปวิศวกร หรือแพทย์ที่เราผลิต ต้องเป็นวิศวกร หรือแพทย์ของอาเซียน ไม่ใช่จำกัดแค่กรอบภายในประเทศเท่านั้น
ดังนั้น การเตรียมตัวจากนี้ไป วิสัยทัศน์ต้องมองถึงผลกระทบและความเป็นไปได้ของการดำเนินการ ซึ่งวิสัยทัศน์ดังกล่าวนั้นก็ต้องไม่ละทิ้งศักยภาพที่มีอยู่ ขณะเดียวกันอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาก็ต้องร่วมออกแรง ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาระของฝ่ายบริหารแต่เพียงผู้เดียว
ผมคิดว่า สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการมองเรื่องวาระการเป็นประชาคมอาเซียน เราควรวาระดังกล่าวให้เป็นโอกาสในการสร้างความเข้มแข็ง ถัดมาคือการสร้างโอกาสให้แก่นักศึกษา ซึ่งเมื่อผลิตบัณฑิตไปแล้วก็จะต้องติดตามผลด้วย เพื่อนำปัญหาใช้ในการพัฒนาครั้งต่อไป"
รศ.ดร.เปรื่อง กิจรัตน์ภร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
และประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎ
"มีอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพียง 61% เท่านั้นที่สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ "
"เมื่อพูดถึงอาเซียน เราต้องคิดให้ไกล มองดูตัวเองให้รอบและไปให้ถึง เพราะคงต้องยอมรับว่า บริบทขององค์กรต่างๆ ก็มีปัญหาอยู่มาก ยิ่งในสถาบันเก่า การปรับเปลี่ยนยิ่งอุ้ยอ้าย อีกทั้งการปรับวิธีคิดก็เป็นเรื่องยาก
ฉะนั้น ในส่วนของมหาวิทยาลันราชภัฏ 40 แห่ง จึงเห็นว่า เพื่อเตรียมความพร้อมสู่อาเซียน เราต้องคิดเชิงระบบและทำความเข้าใจร่วมกัน ในลักษณะผนึกกำลังเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย ไม่เช่นนั้นการตกแต่งบ้านหลังเก่าๆ จะเกิดข้อถกเถียงอย่างหนัก สุดท้ายอาจติดขัด จนทำให้เดินไปไม่ถึงเป้าหมาย
และเพื่อจะทำให้เราเข้าใจตัวตนของมหาวิทยาลัยราชภัฏมากขึ้น จึงมีการสำรวจความคิดเห็นของมหาวิทยาลัยราชภัฎจำนวน 40 แห่งเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจของการเป็นอาเซียน ซึ่งผลปรากฏว่า ส่วนใหญ่รับรู้ถึงการเป็นประชาคมอาเซียน แต่ยังไม่รู้บทบาทของตนเองเท่าที่ควร
เมื่อผลออกมาเช่นนั้น ทำให้เราสามารถกำหนดแผนต่อไปในอนาคตได้ชัดเจน และเมื่อลงไปดูกันจริงๆ แล้ว ราชภัฏเองขณะนี้ก็มีนักศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาเรียนใน 8 ปริญญา 53 สาขา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏ 13 แห่งทางภาคอีสาน ซึ่งมีนักศึกษาจากประเทศลาว กัมพูชา เวียดนามเข้ามาเรียนต่อในระดับหนึ่ง ดังนั้น หากรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ก็เพียงแต่ปรับตัวเรื่องการจัดการให้มีความชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งหัวใจสำคัญคงหนี้ไม่พ้นเรื่องของภาษา
และถึงแม้ว่าขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏจะมีโครงการจำนวนถึง 172 โครงการที่ร่วมทำงานกับ 21 ประเทศ แต่ข้อกังวลคือ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏจำนวนกว่า 10,000 ราย มีประมาณ 61% เท่านั้นที่พอจะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ ดังนั้น ในเรื่องของภาษาอังกฤษ แม้จะเป็นข้อจำกัดของมหาวิทยาลัยราชภัฏในขณะนี้ก็ตาม แต่มหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 40 แห่งได้มีการเตรียมตัว ผนึกกำลังกันแล้ว มหาวิทยาลัยที่มีจุดแข็งเรื่องใดก็จะร่วมแชร์ข้อมูล แชร์ทรัพยากร เป็นพี่เลี้ยงให้แก่กัน เพราะต่อให้เก่งคนเดียว สุดท้ายก็ไปไม่รอด เนื่องจากต่อไปอาเซียนเต็มไปหมด คนย้ายเข้าย้ายออก การพัฒนาครูจึงต้องสอดคล้อง มีทั้งความรู้เรื่องวัฒนธรรมและภาษา
ขณะเดียวกันในอนาคต มหาวิทยาลัยเองก็มองว่า ต้องมีนักเรียนไทยที่ไปเรียนต่อในกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้น หากเด็กไทยไปรู้เรียนภาษาของประเทศในกลุ่มอาเซียนเลย ต่อไปต้องถูกแย่งงานอย่างแน่นอน"