- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- “บรรยง พงษ์พานิช” ลั่น คอร์รัปชั่นไม่เคยทำให้ประเทศไหนเจริญ สุดท้ายย้อนกลับมากินตัวเอง
“บรรยง พงษ์พานิช” ลั่น คอร์รัปชั่นไม่เคยทำให้ประเทศไหนเจริญ สุดท้ายย้อนกลับมากินตัวเอง
"บรรยง" เผย วงเงินจัดซื้อจัดจ้าง-ลงทุนภาครัฐ 2 ล้านล้านบาท/ปี กระจุกตัวอยู่ที่คนแค่ 2 ล้าน ซัดหน่วยงานธุรกิจหลายแห่งอาจต้องปิดตาย หากไม่มีการคอร์รัปชั่น ด้าน ดร.บัณฑิต แนะใช้มาตรการทางกฎหมาย-ภาษี อัดคนโกง
วันที่ 14 กันยายน ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ มีการเปิดตัวสำนักข่าวไทยพับลิก้า (ThaiPublica.org) ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่มุ่งเน้นการนำเสนอข่าวสืบสวนสอบสวน ตรวจสอบความโปร่งใสของภาครัฐและเอกชน โดยนางสาวบุญลาภ ภูสุวรรณ บรรณาธิการบริหารสำนักข่าวไทยพับลิก้า กล่าวว่า ปัจจุบันมีการนำเสนอข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนน้อยลง เพราะปัจจัยเรื่องความอยู่รอดมีความสำคัญมาก จนอาจทำให้สื่อเซนเซอร์ตนเอง ขณะเดียวกันความรวดเร็วของเทคโนโลยี ทำให้นักข่าวต้องทำงานแทบทุกอย่าง ทั้งเขียนข่าว เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ดังนั้น จึงเป็นข้อจำกัดในการทำเชิงข่าวเชิงลึก ดังนั้น ไทยพับลิก้า จึงมุ่งเจาะข่าวสืบสวนสอบสวนอย่างเป็นอิสระ
จากนั้นมีการเสวนาเรื่อง “สื่อกับการสร้างความโปร่งใสประเทศไทย” โดยนายบรรยง พงษ์พานิช คณะกรรมการที่ปรึกษาสำนักข่าวไทยพับลิก้า และประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสาเหตุส่วนหนึ่งที่สื่อมวลชนไม่เจาะลึกในประเด็นคอร์รัปชั่นนั้น น่าจะเป็นผลจากเรื่องของรายได้ที่มาจากภาครัฐ ทั้งการลงโฆษณา อีเว้นท์ต่างๆ ในสัดส่วนที่สูง จึงทำให้การวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นลำบาก ขณะเดียวกันสื่อไทยยังมีปัญหาในเรื่องต้นทุนและคุณภาพ เพราะต้องจ้างนักข่าวให้คอยไปเฝ้าแหล่งข่าวทุกที่ทุกเวลา นอกจากจะเสียเงินจำนวนมากแล้ว ด้านนักข่าวเองก็เสียเวลาในการปรับปรุงคุณภาพตนเองอีกด้วย
นายบรรยง กล่าวถึงบทบาทสื่อในการต่อต้านคอร์รัปชั่นว่า สื่อมีส่วนสำคัญอย่างมาก ที่จะช่วยเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะขณะนี้ยังมีคนบางกลุ่มมองว่าการต่อต้านคอร์รัปชั่นเป็นเรื่อง "เพ้อเจ้อ" เป็นไปไม่ได้ ส่วนคนที่ออกมารณรงค์ก็เพราะอยากดัง อยากเท่ห์เท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงการคอร์รัปชั่นไม่เคยทำให้ประเทศใดเจริญ เพียงแต่ในระยะสั้นมักมีภาพหลอนที่ว่า กระตุ้นให้เกิดการลงทุน การบริโภค แต่ในระยะยาวจะส่งผลเสียหายร้ายแรง และสุดท้ายจะย้อนกลับมากินตนเอง ดังนั้น ในเรื่องของการคอร์รัปชั่น จึงลุกขึ้นมาชี้ให้สังคมเห็นถึงโทษภัยอย่างชัดเจน เพราะการปลุกจิตสำนึกอย่างเดียวไม่เพียงพอ
นายบรรยง กล่าวอีกว่า ปัจจุบันวงเงินในการจัดซื้อจัดจ้างและการลงทุนของภาครัฐอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านล้านบาทต่อปี หรือ 20% ของจีดีพี ซึ่งจากสังเกตพบว่า มีการกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มคนประมาณ 2 ล้านคน ทั้งในส่วนผู้ให้และผู้รับ อีกทั้งยังพบว่าหน่วยงานหรือธุรกิจบางแห่งจะอยู่รอดไม่ได้เลย หากไม่มีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น นอกจากนี้ การคอร์รัปชั่นยังเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวข้ามการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง (middle income) ไปได้ สื่อจึงต้องเข้าไปตรวจสอบในเชิงลึก ติดตาม สอดส่องไม่ให้ทรัพยากรสาธารณะถูกปล้นชิง ถูกทำลายไปมากกว่านี้
ด้าน ดร.บัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) กล่าวว่า สาเหตุที่สังคมไทยอ่อนแอ เป็นผลจากการที่สื่ออ่อนแอ เพราะสื่อสามารถชี้นำความคิดของสังคมได้ ซึ่งประชาชนเองก็มีความคาดหวังว่าสื่อจะรายงานข้อเท็จจริง เสนอความคิดเห็นในเชิงวิเคราะห์ รวมทั้งเป็นเวทีให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น แต่สิ่งที่ประชาชนได้รับกลับเป็นไปตามโจทย์ที่สื่อตั้งไว้ เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับในเรื่องเดียวกัน แต่พาดหัว โทนต่างกัน ทำให้เกิดมีความไม่เข้าใจเกิดขึ้น ดังนั้น สื่อจึงต้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง มีอุดมการณ์ ไม่ใช่ทำตัวเป็นกระดาษคาร์บอน หรือให้นักการเมืองใช้เป็นพื้นที่ในการสร้างชื่อเสียง ขณะเดียวกันจะต้องมีจริยธรรมในการนำเสนอข่าว
สำหรับสถานการณ์คอร์รัปชั่นในบ้านเราขณะนี้ ดร.บัณฑิต กล่าวว่า สร้างความไม่พอใจให้กับคนไทยทุกหย่อมหญ้า ทุกคนจึงต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ขณะเดียวกันสื่อต้องใช้พลังในการชี้นำสังคมมาช่วยในการแก้ปัญหาทุจริตเพราะประเทศกำลังเผชิญกับอาชญากรรมจัดตั้ง (organize claim) นั่นก็คือ การคอร์รัปชั่น ที่มีลักษณะเป็นเครือข่าย เป็นระบบ
“การคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาใหญ่ และอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศ ทั้งในแง่ขาขึ้นและขาลง ดังนั้น วิธีการแก้ไขจึงต้องนำระบบใหม่มาทับระบบเก่า โดยนำอำนาจทางกฎหมาย ทางภาษีมาใช้ เพื่อให้การดำเนินการต่างๆ เป็นไปอย่างติดขัด และทำได้ยากขึ้น เหมือนกับการโยนทรายเข้าไปในเครื่องจักร ทั้งนี้ หากการแก้ไขเป็นไปอย่างต่อเนื่องในอีก 10-15 ปีข้างหน้าตัวเลขการคอร์รัปชั่น 60 % น่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”