เปิดคำให้การ คกก.พิจารณาหนังฯ เหตุผลแบน ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’
เปิดคำให้การคกก.พิจารณาหนังฯ เหตุผลสั่งเเบน 'เชคสเปียร์ต้องตาย' หลังศาลปค. สั่งยกฟ้องคำขอยกเลิกมติ คณะที่ 3 ห้ามฉายในไทย

ศาลปกครองยกฟ้องคดีสั่งห้ามฉาย “เชคสเปียร์ต้องตาย” ในราชอาณาจักรไทย โดยเห็นว่าคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดีทัศน์ คณะที่ 3 ใช้ดุลยพินิจถูกต้องแล้ว เนื่องจากหนังเรื่องนี้มีเนื้อหาพาดพิงเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ซึ่งสร้างความแตกแยกสามัคคีในชาติ กรณีขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี
ทำให้คอหนังอดรับชม!!! อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์มีมติสั่งแบน เพราะก่อนหน้านี้มีหนังไทยจำนวนหนึ่งถูกสั่งแบน ทำให้หลายเรื่องต้องตัดทอนเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงออกไป เพื่อให้ได้ออกฉาย เช่น อาบัติ, แสงศตวรรษ, ปิตุภูมิ พรมแดนแห่งรัก, อินเซค อินเดอะ แบคยาร์ค
ทั้งนี้ “เชคสเปียร์ต้องตาย” เป็นบทประพันธ์ที่ดัดแปลงจากบทละครโศกนาฎกรรมแม็คเบ็ธ ของ “วิลเลียม เชกสเปียร์” บอกเล่าเรื่องราวของแม็คเด็ด ขุนนางที่ล้มอำนาจกษัตริย์ ก่อนจะสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ แต่ด้วยความลุ่มหลงในอำนาจ จึงเข่นฆ่าทุกคน เพื่อหวังอยู่ในอำนาจและเป็นใหญ่ต่อไป แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับนำไปสู่หายนะ
ในคำพิพากษายกฟ้องของศาลปกครอง เหตุผลโดยละเอียดที่คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดีทัศน์ คณะที่ 3 และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ให้การไว้ เห็นว่า จำเป็นต้องสั่งแบนหนังเรื่องนี้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) หยิบยกคำให้การบางช่วงบางตอนระบุว่า นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้ยื่นคำขออนุญาตนำ “เชคสเปียร์ต้องตาย” ออกฉาย ให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร ต่อคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ฯ คณะที่ 3 และได้ประชุมตรวจพิจารณาเนื้อหาสาระของหนังเรื่องดังกล่าว มีความเห็นว่า
“มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดความแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ซึ่งเข้าลักษณะของประเภทภาพยนตร์ตามข้อ 7 (3) ของกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ.2552 ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร”
ต่อมาได้แจ้งให้นายมานิต และน.ส.สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้ฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาแก้ไขเรื่องดังกล่าว เนื่องจากมีเนื้อหาสาระบางส่วนที่ก่อให้เกิดความแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ แต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองคนกลับแจ้งว่า “เชคสเปียร์ต้องตาย” เป็นการนำเสนอความจริงในเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ของประเทศไทย จึงยืนยันไม่ขอแก้ไขใด ๆ
คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ฯ คณะที่ 3 จึงประชุมร่วมกันและเห็นว่า “...เนื้อหาสาระบางส่วนได้นำเหตุการณ์แสดงละครที่ก่อเกิดความวุ่นวาย เมื่อ 6 ต.ค. 2519 ของประเทศไทยมาสอดแทรกไว้ ประกอบกับคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ฯ คณะที่ 3 ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองแก้ไขภาพยนตร์แล้ว แต่ยืนยันไม่ขอแก้ไขใด ๆ...”
ด้วยเหตุนี้จึงมีมติไม่อนุญาต โดยจัดให้เป็นประเภทภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักรตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง (7) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551
ทั้งนี้ แม้ “เชคสเปียร์ต้องตาย” จะได้รับเงินอุดหนุนการสร้างตามมติของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดีทัศน์แห่งชาติก็ตาม แต่คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ฯ คณะที่ 3 มีอำนาจหน้าที่ตรวจพิจารณาและกำหนดประเภทภาพยนตร์ที่จะนำออกฉาย ให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร
“ขณะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้อาจมีบทภาพยนตร์และเนื้อหาไม่ตรงกับบทคัดย่อและเนื้อหาภาพยนตร์บางส่วนที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองส่งให้คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดีทัศน์แห่งชาติดูก่อนมีมติให้เงินอุดหนุน และการได้รับเงินสนับสนุนไม่เป็นการยกเว้นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ต้องผ่านการตรวจพิจารณา เพราะเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับเงินสนับสนุน”
กรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่า เหตุการณ์ทำนองเดียวกันกับภาพยนตร์ เรื่อง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ได้รับการเผยแพร่เป็นภาพยนตร์แล้ว เช่น มหา’ลัย สยองขวัญ เป็นการเลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรมนั้น
เมื่อพิจารณาภาพยนตร์ “เชคสเปียร์ต้องตาย” แล้วมีเนื้อหาแสดงถึงคนดูละครได้เข้าไปทำร้ายคณะนักแสดงและมีการจับผู้กำกับละครแขวนคอและทุบตีด้วยสิ่งของ เป็นต้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 6 ต.ค. 2519 เป็นช่วงที่เกิดความแตกแยกกันทางความคิดและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วในสังคมประเทศไทยและเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงและเป็นความแตกแยกด้านอุดมการณ์และความคิดเห็นของคนในชาติที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน
อันเป็นการส่งผลกระตุ้นให้เกิดพฤติการณ์เลียนแบบให้ก่อความรุนแรง ความไม่สงบให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก ประกอบกับเนื้อหาสาระของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูแล้วก่อให้เกิดความแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติขึ้นมาได้ ซึ่งแตกต่างจากภาพยนตร์ เรื่อง มหา’ลัย สยองขวัญ ไม่ได้ก่อให้เกิดความแตกความสามัคคีของคนในชาติแต่อย่างใด ดังนั้นคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ฯ คณะที่ 3 จึงมิได้เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้แม้จะดัดแปลงบทประพันธ์ แต่บางฉากบางตอนสื่อให้เห็นว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เช่น การแต่งกายของนักแสดงเป็นการแต่งกายของชนชาติไทย ฉากที่นักแสดงประกาศข่าวภาพหลังเป็นธงแสดงสัญลักษณ์สีเหลืองแดง รวมทั้งอุปกรณ์ประกอบฉากต่าง ๆ สื่อให้เห็นว่าเป็นสภาพสังคมไทย มิใช่ประเทศสก๊อตแลนด์หรือประเทศสมมติตามที่กล่าวอ้าง
ทั้งหมดนี้เป็นคำให้การบางช่วงบางตอนที่นำมาเสนอ และนำไปสู่คำพิพากษายกฟ้องในที่สุด .
อ่านประกอบ:ศาลปค.ยกฟ้องคดีห้ามฉาย ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เนื้อหาขัดศีลธรรม
