อีกอึดใจเดียว ผลการเลือกตั้ง สส.ทั่วประเทศครั้งสำคัญก็จะปรากฎ แน่นอนไม่ว่า ใครชนะ ขั้วใดได้เป็นรัฐบาลย่อมจะมีผลอย่างมาก การทิศทางการเมืองไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ รศ.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มอง จุดเปลี่ยนครั้งนี้ผ่านการเลือกตั้งและเงื่อนไขที่อาจทำให้ประเทศคลี่คลาย หรือ เพิ่มความขัดแย้ง ผ่าน “ไทยรีฟอร์ม” อย่างไร

กระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้า คือหนึ่งในความอยุติธรรม, คนมลายูมีอยู่ในทุกพรรค แต่พรรคคนมลายูมีเพียงหนึ่งเดียว หรือ พรรคอื่นเป็นเพียงของประดับ แต่พรรคเราคือสายเลือด...เหล่านี้คือข้อความหาเสียงอันเร้าใจของพรรคการเมืองน้องใหม่ที่เสนอตัวเป็นทางเลือกในพื้นที่ปลายสุดด้ามขวาน “พรรคประชาธรรม”

แม้ประเทศไทยที่จะมีกฎหมายเกี่ยวกับการเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กและ เยาวชน(บุคคลที่มีอายุไม่ถึง 18 ปี)มานานถึง 20 ปีแล้วก็ตาม แต่สื่อมวลชนทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ก็ยังละเมิดสิทธิเด็กกันอยู่เนืองๆ แม้ว่า ความถี่จะลดน้อยลงก็ตาม

และแล้วการเลือกตั้งใหญ่ก็เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายก่อนหย่อนบัตร พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มี ส.ส.ได้ 11 คนจาก 11 เขตเลือกตั้ง แม้จะไม่มากไม่มาย แต่ในการเลือกตั้งที่มีเดิมพันสูงสุดของสองพรรคการเมืองใหญ่ และเกมการชิงจังหวะจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่หลังจากนั้น ทำให้ทุกคะแนนเสียง ทุกที่นั่งจากทุกพรรค...มีค่าอย่างยิ่ง

จริงๆ ผมตั้งใจจะเขียนบทความเกี่ยวกับข้อเสนอเรื่องรูปแบบการปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มานาน แต่ก็อดใจไว้ไม่อยากเขียนช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เนื่องจากบางพรรคการเมืองชูเป็นนโยบายสำคัญ จึงเกรงจะถูกมองว่ามีวาระซ่อนเร้น