ละเอียดคำพิพากษาศาลฎีกาสั่งคุก จนท.ที่ดิน-‘พิบูลย์ อัศวเหม’คดีรุกชายหาด2ไร่เศษ
“…หลักฐานสำคัญของคดีนี้คือ เมื่อปี 2537 มีการเบิกความพยานในฐานะช่างรังวัด (ขณะนั้น) ได้วัดที่ดินเพื่อนำไปออกโฉนด พบว่า มีเนื้อที่จากการรังวัดประมาณ 5 ไร่เศษ เกินกว่าหลักฐานตามหนังสือ น.ส. 3 เลขที่ 388 และ 389 จำนวน 2 ไร่ 2 งานเศษ สภาพที่ดินมีการถมประมาณร้อยละ 80 ของพื้นที่ทั้งหมด…”
ชื่อของคนสกุล ‘อัศวเหม’ กลับมาได้รับความสนใจจากสาธารณชนอีกครั้ง!
ภายหลังศาลจังหวัดพัทยา อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จำคุก อดีตเจ้าหน้าที่ที่ดิน จ.ชลบุรี 2 ราย จำนวน 7 ปี อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานเจ้าท่าภาค 6 จ.ชลบุรี 1 ราย รวม 7 ปี และนายพิบูลย์ อัศวเหม บุตรชายนายวัฒนา อัศวเหม อดีตนักการเมืองชื่อดัง (ปัจจุบันหลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาคดีทุจริตสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน) ในฐานะกรรมการบริษัท อาชาแลนด์ จำกัด จำนวน 4 ปี 8 เดือน คดีออกโฉนดที่ดินมิชอบบุกรุกพื้นที่สาธารณประโยชน์ มีการถมดินรุกล้ำชายหาด และทะเลบริเวณใกล้ฐานทัพเรือสัตหีบ เมื่อปี 2541
ยกฟ้องจำเลย 2 ราย คือ อดีตนายช่างรังวัดที่ดิน 7 สำนักงานที่ดิน จ.ชลบุรี และอดีตนายอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี ปิดฉากคดีทุจริตที่ยาวนานกว่า 20 ปีเศษลงเรียบร้อย
สำหรับนายพิบูลย์ ปัจจุบันถูกศาลฎีกาออกหมายจับ เนื่องจากไม่มาฟังคำพิพากษาร่วมกับเจ้าหน้าที่ดิน และเจ้าหน้าที่สำนักงานเจ้าท่าภาคที่ 6 จ.ชลบุรี ด้วย (อ่านประกอบ : ฎีกาคุก 3 จนท.ที่ดิน 7 ปี-‘พิบูลย์ อัศวเหม’ 4 ปี หลบหนีเจอหมายจับ คดีรุกชายหาดปี’41)
ประเด็นที่น่าสนใจจากคำพิพากษาคดีนี้คือ ที่ดินข้อพิพาทดังกล่าวได้แก่ โฉนด น.ส. 3 จำนวน 2 ฉบับ ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับเขตฐานทัพเรือสัตหีบ เกิดข้อพิพาทมานานหลายสิบปีก่อนที่บริษัท อาชาแลนด์ จำกัด โดยนายพิบูลย์ กรรมการผู้มีอำนาจ (ขณะนั้น) จะขอซื้อโฉนดที่ดินดังกล่าวต่อ กระทั่งพบว่า นายพิบูลย์ และบริษัท อาชาแลนด์ จำกัด ชี้นำเจ้าหน้าที่รัฐให้ออกโฉนดที่ดินดังกล่าว รุกล้ำไปในทะเล และชายหาด ประมาณ 2 ไร่เศษ จนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ปปป. ปัจจุบันคือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.) จะชี้มูลความผิด และส่งอัยการจังหวัดพัทยาฟ้องต่อศาล เบื้องต้นศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งหมด ต่อมาชั้นอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 4 นอกนั้นพิพากษายืน กระทั่งในชั้นศาลฎีกาพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งหมด ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ 4
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงข้อเท็จจริงคดีนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา สรุปได้ ดังนี้
คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุเมื่อปี 2541 จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งช่างรังวัด 6 จำประจำสำนักงานที่ดิน จ.ชลบุรี สาขาบางละมุง จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งช่างรังวัด 7 หัวหน้าฝ่ายรังวัดสำนักงานที่ดิน จ.ชลบุรี สาขาบางละมุง จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน อ.บางละมุง จำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งนายอำเภอบางละมุง จำเลยที่ 5 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ขนส่ง 3 ประจำสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาชลบุรี จำเลยที่ 6 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 7 (บริษัท อาชาแลนด์ จำกัด)
เบื้องต้นก่อนจะมาเป็นที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 388 และ 389 ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นข้อพิพาทในคดีนี้นั้น แรกเริ่มที่ดินดังกล่าวเป็นหนังสือที่ดินประเภท ส.ค.1 ตั้งแต่ 2498 ต่อมาปี 2499 กระทรวงมหาดไทยกำหนดเขตหวงห้ามที่เขา หรือภูเขา ส่งผลให้เขาพัทยาเป็นเขตหวงห้ามด้วย
ต่อมาเจ้าของที่ดินดังกล่าวขอความเป็นธรรมครอบครองสิทธิที่ดิน ท้ายที่สุดหลังจากการตรวจสอบแล้วพบว่า เจ้าของที่ดิน ส.ค.1 ดังกล่าวครอบครองมาก่อนประกาศกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ที่ดินขณะนั้นจึงออกหนังสือ น.ส. 3 ให้ มีเนื้อที่ 5 ไร่เศษ ต่อมาปี 2500 เจ้าของที่ดินดังกล่าวได้แบ่งขายที่ดินแบ่งเป็น 2 โฉนดคือ น.ส.3 เลขที่ 388 และ 389
ปี 2509 กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ เริ่มสำรวจเพื่อขอใช้ประโยชน์พื้นที่เขาพัทยา ปักหลักเขตไว้ 48 หลัก โดยที่ดินดังกล่าวมีการโอนหลายครั้ง กระทั่งถึงปี 2532 กองทัพเรือมีหนังสือถึง จ.ชลบุรี ขอตรวจสอบแนวที่ดินเขาพัทยาใหม่ เนื่องจากมีราษฎรบุกรุกเข้าไปในที่ดิน และหลักหมุดที่ดินหายบางส่วน โดยปี 2533 กองทัพเรือได้กำหนดหมายเลขหลักเขตใหม่เพิ่มเติมเป็น 55 หลัก
ต่อมาเมื่อปี 2534 มีการตรวจสอบแนวเขตที่ดินเขาพัทยาบริเวณหลัก 50-55 และหลัก 1-3 เนื่องจากเขตที่ดินดังกล่าวมีที่ดินตามหนังสือ น.ส. 3 เลขที่ 388 และ 389 เหลื่อมล้ำเข้าไปในที่ดินเขาพัทยา กองทัพเรือจึงมีหนังสือถึงกรมที่ดินเพื่อหารือกรณีนี้ โดยกรมที่ดินแจ้งให้ฐานทัพเรือสัตหีบทราบว่า ที่ดิน 2 แปลงดังกล่าว เป็นที่ดินซึ่งเป็นหลักฐานครอบครองทำประโยชน์ก่อนที่กระทรวงมหาดไทยประกาศเมื่อปี 2499 แม้ราชการอนุญาตให้กระทรวงกลาโหมใช้ที่ดินบริเวณเขาพัทยา แต่ไม่กระทบถึงสิทธิของราษฎรที่ได้ที่ดินมาโดยชอบ
ต่อมาเมื่อปี 2536 เจ้าของที่ดิน น.ส. 3 ทั้ง 2 ฉบับ ได้ขายที่ดินให้แก่บริษัท อาชาแลนด์ จำกัด (จำเลยที่ 7) โดยจำเลยที่ 7 ได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินโดยอาศัยหลักฐานหนังสือ น.ส. 3 เลขที่ 388 และ 389 รวม 3 ไร่ 91 ตารางวา มีการนัดทำการรังวัดหลายครั้งตั้งแต่ปี 2536-2541 อย่างไรก็ดีไม่สามารถทำรังวัดได้ กระทั่งนัดครั้งที่ 7 เมื่อ มิ.ย. 2541 ก็ยังไม่สามารถตรวจสอบรังวัด อย่างไรก็ดีจำเลยที่ 5 ได้รับรองแนวเขตจดทะเล จำเลยที่ 4 แจ้งว่าอำเภอบางละมุงสั่งให้ผู้แทนออกไปร่วมตรวจสอบและนำชี้รับรองแนวเขตตามที่จำเลยที่ 7 ขอรังวัด และพิจารณาว่าไม่เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือที่ดินสงวนหวงห้ามแต่อย่างใด หลังจากนั้นสำนักงานที่ดิน จ.ชลบุรี จึงออกโฉนดเลขที่ 83096 ให้แก่จำเลยที่ 7 เมื่อปลายปี 2541
อย่างไรก็ดีในช่วงปี 2540 มีชาวบ้านแจ้งสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาชลบุรีว่า มีการถมดินและหินลงทะเลบริเวณพื้นที่ที่จำเลยที่ 7 ขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยที่ 5 พร้อมกับหัวหน้าสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 จึงเดินทางไปดู พบว่า มีบุคคลรับจ้างจากจำเลยที่ 7 มาถมดินดังกล่าว หลังจากนั้นสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 7 ระงับการกระทำดังกล่าว ปีเดียวกันมีราษฎรร้องเรียนว่า มีการถมดินและวางแนวหินกันรุกล้ำเข้าไปในทะเล อย่างไรก็ดีจำเลยที่ 7 ยังไม่หยุดถมดิน จนรุกล้ำเข้าไปในชายหาด และเขตน้ำทะเลท่วมถึง
โดยการถมดินของจำเลยที่ 7 รุกล้ำเข้าไปในชายหาดและทะเล เนื้อที่กว้าง 8.2 เมตร ยาว 250 เมตร รวมเนื้อที่ 2,025 ตารางเมตร อย่างไรก็ดีจำเลยทั้งหมดยืนยันว่า การออกโฉนดที่ดินดังกล่าว เป็นไปตามหนังสือ น.ส. 3 เลขที่ 388 และ 389 ตอนแรก
หลักฐานสำคัญของคดีนี้คือ เมื่อปี 2537 มีการเบิกความพยานในฐานะช่างรังวัด (ขณะนั้น) ได้วัดที่ดินเพื่อนำไปออกโฉนด พบว่า มีเนื้อที่จากการรังวัดประมาณ 5 ไร่เศษ เกินกว่าหลักฐานตามหนังสือ น.ส. 3 เลขที่ 388 และ 389 จำนวน 2 ไร่ 2 งานเศษ สภาพที่ดินมีการถมประมาณร้อยละ 80 ของพื้นที่ทั้งหมด
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า หนังสือ น.ส. 3 เลขที่ 388 และ 389 ตั้งอยู่ล้ำเข้าไปในเขาพัทยาตั้งแต่หลักเขตทหารเรือที่ 49-55 การที่จำเลยที่ 1 รังวัดตามที่จำเลยที่ 7 นำชี้ โดยอาศัยหลักเขตทหารเรือที่ 49-55 เป็นแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันตกเพื่อรังวัดไปทางทิศตะวันออกจึงเป็นการไม่ชอบ ส่วนแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกจากเขตเขาพัทยาไปทางทะเลนั้น เมื่อแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันตกล้ำเข้าไปในเขตเขาพัทยาแล้ว แนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกไปทางทะเลจึงย่อมน้อยกว่า 8 เมตร
เมื่อพิจารณาภาพถ่ายตามอากาศเมื่อปี 2540 พบว่าจำเลยที่ 7 ถมดินและหินลงไปเลยรอยกัดเซาะของน้ำทะเลและเขื่อนกันดินดังกล่าว จึงเป็นการถมดินและหินลงไปในทะเลอย่างชัดเจน นอกจากนี้เห็นได้อีกว่า จำเลยที่ 1 รังวัดตามที่จำเลยที่ 7 นำชี้ และจำเลยที่ 5 รับรองแนวเขตทะเลเลยเข้าไปในเขตทะเลที่จำเลยที่ 7 ถมไว้ดังกล่าว การรังวัดแนวเขตที่ดินทางด้านทิศตะวันออกก็ไม่ชอบเช่นกันในเรื่องเกี่ยวกับที่ตั้งของที่ดิน
เมื่อจำเลยที่ 1, 3 และ 6, 7 ตรวจสารบบของที่ดินดังกล่าวแล้ว ย่อมทราบดีว่า เจ้าของที่ดินเดิมที่ครอบครองตั้งแต่สมัยเป็น ส.ค.1 เป็นผู้ทราบเรื่องเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวเป็นอย่างดี แต่จำเลยที่ 1, 3 ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินและตัวแทนนายอำเภอบางละมุง และจำเลยที่ 6, 7 ในฐานะผู้ซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิม มิได้สอบสวนหรือสอบถามให้ปรากฏชัดเจนว่า แนวเขตที่ดินที่ถูกต้องเป็นอย่างไร แต่กลับพยายามรังวัดให้ตรงตามเนื้อที่ที่ปรากฏในหนังสือ น.ส. 3 โดยมิได้คำนึงถึงแนวเขตที่ถูกต้องเป็นอย่างไร การที่กรมที่ดินยังมิได้เพิกถอนโฉนดเลขที่ 83096 ก็มิได้ทำให้คดีอาญาต้องระงับไป
ดังนั้นจำเลยที่ 1, 3 และ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุกรายละ 7 ปี ส่วนจำเลยที่ 6, 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 68 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 6 จำนวน 4 ปี 8 เดือน สั่งปรับจำเลยที่ 7 เป็นเงิน 12,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 พิพากษายกฟ้อง
หมายเหตุ : ภาพประกอบนายพิบูลย์ จาก Youtube