- Home
- South
- เวทีวิชาการ
- ศึกษา“ภูมิวัฒนธรรม”เพื่อเข้าถึงและเข้าใจชายแดนใต้ กับบทวิพากษ์“คนใน”ให้คิดนอกกรอบ
ศึกษา“ภูมิวัฒนธรรม”เพื่อเข้าถึงและเข้าใจชายแดนใต้ กับบทวิพากษ์“คนใน”ให้คิดนอกกรอบ
ณัฏฐพัชร์ ทัศนรุ่งเรือง / รตินันท์ เหล่าอารักษ์พิบูล
จิตต์ปภัสสร์ บัตรประโคน
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
แม้จะกดปุ่มเปิดงานกันหลังเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองที่กรุงเทพฯ จนส่งผลให้ความสนใจของผู้คนทั่วไปต่องานสัมมนาเรื่อง “ภูมิวัฒนธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” น้อยไปนิด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เนื้อหาและสาระของงานหย่อนรสชาติลงแต่ประการใด
งานสัมมนาที่เกี่ยวกับท้องถิ่นชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ จัดโดย มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อวันพุธที่ 26 และวันพฤหัสบดีที่ 27 พ.ค.2553 ที่ห้องประชุมบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กรุงเทพฯ
ภายในงานมีการเปิดตัวหนังสือจากงานวิจัยชุด "การศึกษาท้องถิ่นอย่างมีส่วนร่วม" จำนวน 4 เล่ม ได้แก่ เล่าขานตำนานใต้, ความทรงจำในอ่าวปัตตานี, ยาลอเป็นยะลา และเรื่องเล่าจากหมู่บ้านเชิงเขาบูโด กรณีบ้านตะโหนด
ศ.ดร.สวัสดิ์ ตันตระรัตน์ ผู้อำนวยการ สกว. กล่าวว่า นอกจาก สกว.จะสนับสนุนเรื่องการวิจัยแล้ว ยังมีภารกิจสื่อสารผลงานวิจัยรูปแบบต่างๆ ออกสู่สังคม เพื่อให้นำไปต่อยอดจากสิ่งที่ได้ศึกษามา โดยเฉพาะงานจากสามจังหวัดชายแดนใต้ ถือเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งของ สกว. เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและคลี่คลายปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่
“หลายโครงการเราสนับสนุนให้คนในพื้นที่ทำวิจัยด้วยตัวเอง โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสะท้อนปัญหา ความรู้สึกนึกคิด วิธีคิด จารีตประเพณี และประวัติศาสตร์ เพื่อให้การแก้ปัญหาตรงจุดและตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง” ศ.ดร.สวัสดิ์ กล่าว และว่า
“งานวิจัยท้องถิ่นถือเป็นงานวิจัยที่ชาวบ้านเป็นคนตั้งโจทย์ หาข้อมูล แล้วนำมาสังเคราะห์ โดยจะมีพี่เลี้ยงเข้าไปช่วยแนะนำ ซึ่งงานวิจัยในลักษณะนี้มีทุกภาค แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกจังหวัด ทั้งยังมีโครงการวิจัยอื่นๆ ของสามจังหวัดภาคใต้หลายโครงการ มีวิธีการทำงานที่ลงไปถึงระดับชาวบ้าน ซึ่ง สกว.ก็ต้องการสื่อไปยังรัฐบาลโดยเฉพาะทหารให้ได้รับรู้สิ่งที่เรากำลังทำ หวังว่าจะเกิดผล มองเห็นมิติปัญหาทางสังคม วัฒนธรรมที่หลากหลาย”
“ร่วมคิด-ร่วมทำ”สร้างความปรองดอง
ดร.ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ ประธานมูลนิธิชุมชนไท กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างงานวิจัยเชิงปริมาณกับงานวิจัยเชิงคุณภาพว่า งานวิจัยเชิงปริมาณจะใช้แบบสอบถาม ทำออกมาเป็นสถิติ แตกต่างกับการทำวิจัยแบบที่นักมานุษยวิทยาทำ คือเข้าไปศึกษาอย่างใกล้ชิด พยายามเข้าใจคนในท้องถิ่น ซึ่งแบบหลังนี้ทำยาก
“งานวิจัยแบบที่ให้ชาวบ้านเป็นนักวิจัย ร่วมคิด ร่วมทำ เป็นเรื่องน่าสนใจ ผู้ที่มีความรู้อาจคิดว่าไม่ใช่งานวิจัย มองว่าคนทำไม่ได้จบปริญญา แต่จริงๆ แล้วก็คืองานวิจัยแบบหนึ่งเหมือนกัน ชาวบ้านที่เป็นนักวิจัยร่วมรู้ดีกว่าเสียด้วยซ้ำ เขารู้จักสภาพภูมิประเทศ วัฒนธรรม ประเพณี ทำให้งานวิจัยออกมาดี และยังทำให้รู้ความคิดของชาวบ้านจริงๆ สุดท้ายก็จะส่งเสริมให้ชาวบ้านเป็นตัวของตัวเอง เข้าใจสภาพชุมชน คิดแก้ปัญหาและพัฒนาได้ด้วยตัวเอง”
ดร.ม.ร.ว.อคิน กล่าวต่อว่า งานวิจัยเชิงคุณภาพจะช่วยสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศได้ ยิ่งหากรัฐนำไปใช้ในการวางแผนแก้ไขปัญหาจริงๆ โดยเฉพาะปัญหาภาคใต้ ก็มีโอกาสที่จะสำเร็จได้ เพราะมาจากความรู้ความเข้าใจของชาวบ้านเอง
“หากเราทำวิจัยให้เข้าถึงความรู้สึกของชาวบ้าน ไม่ใช่เอาแต่สถิติ โดยเราต้องเข้าใจคนว่าคนมีความรู้สึกอย่างไร อะไรทำให้เกิดความเคียดแค้น ความปวดร้าว ซึ่งหาไม่ได้จากงานวิจัยทางสถิติ ก็จะมองเห็นปัญหาทั้งหมด และกำหนดแนวทางแก้ไขได้อย่างถูกต้อง”
“ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีเรื่องชุมชนศรัทธา คือการปรองดองกันเอง ทำร่วมกับผู้นำศาสนาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หลายหมู่บ้านประสบความสำเร็จ แต่เสนอรัฐแล้วรัฐกลับไม่เอา เพราะมีการแย่งชิงงบประมาณระหว่างทหารกับตำรวจ เงินไม่ถึงท้องถิ่น” ประธานมูลนิธิชุมชนไท กล่าว
มองแบบ“ภูมิวัฒนธรรม”
ด้าน รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอาวุโส กล่าวถึง "การศึกษาท้องถิ่นโดยมุมมองภูมิวัฒนธรรม” ว่า ที่ผ่านมาเราศึกษาพื้นที่แบบนักภูมิศาสตร์ คือใช้มุมมองแบบแผนที่ทั่วไป ทำให้เห็นแค่ว่าพื้นที่ตรงไหนมีอะไร โรงงานจะตั้งตรงไหน แต่มองไม่เห็นชาวบ้าน แต่หากเราศึกษาท้องถิ่นโดยมุมมองของภูมิวัฒนธรรม โดยดึงชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วม ชาวบ้านจะมองแบบหนอน แลเห็นสภาพพื้นที่ทั้งหมด
“ยกตัวอย่างการวาดแผนที่อ่าวปัตตานี หากวาดโดยชาวบ้าน เขาจะอธิบายรายละเอียดทำให้คนรุ่นหลังเข้าใจภูมิวัฒนธรรมของท้องถิ่นมากขึ้น เขารู้ว่านี่แหลมนก (ด้านหนึ่งของอ่าวปัตตานี) เขาสามารถอธิบายได้ด้วยว่าทำไมถึงเรียกแหลมนก เพราะเมื่อก่อนมีนกบินมาตามฤดูกาล แต่วันนี้มีโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้ง ทำให้ไม่มีนกแล้ว เป็นต้น”
ภูมิปัญญาชาวบ้านแก้ปัญหาท้องถิ่น
ขณะที่ ผศ.ดร.สุกรี หะยีสาแม รองคณะบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวถึงปัญหาการรุกล้ำทรัพยากรส่วนรวมของคน 3 จังหวัดภาคใต้ว่า ทรัพยากรส่วนใหญ่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการครอบครองพื้นที่ทั้งบนดิน ในน้ำ และในอากาศ เช่น การแย่งชิงที่ทำกินในอ่าวปัตตานี มีชาวบ้านกว่า 10,000 ครัวเรือน 40,000 คน ชาวประมงกว่า 2,000 ชีวิต เรือประมงกว่า 2,300 ลำ อยู่ในพื้นที่เพียง 72 ตารางกิโลเมตร มีการจับจองกันเกือบหมด และเริ่มมีการขายที่ดินในทะเลซึ่งไม่มีเอกสารอะไรเลย
“การแก้ความตื้นของอ่าวปัตตานีเป็นเรื่องที่เหนือความสามารถของมนุษย์ มองว่าท้ายที่สุดจะกลายเป็นพื้นดินจากการทับถมของตะกอน ปัญหาตอนนี้คือจะทำอย่างไรเพื่อยืนหยัดรักษาอ่าวปัตตานีให้เป็นพื้นที่สาธารณะต่อไปให้ได้ เพราะถ้ามีโฉนดน้ำเมื่อไหร่ ความขัดแย้งจะรุนแรงยิ่งขึ้น”
ดร.สุกรี ยังกล่าวถึงการประกาศเขตอุทยานทับที่ทำกินว่า แม้จะมีปัญหานี้ในหลายๆ พื้นที่ทั่วประเทศ แต่ที่ 3 จังหวัดภาคใต้มีวิธีการแก้ปัญหาของชาวบ้านที่น่าสนใจ เช่น กรณีเทือกเขาบูโด (พื้นที่หลักๆ ที่มีปัญหาคือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส) หลังจากประกาศเขตอุทยานฯได้ไม่นานได้เกิดการรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายชาวบ้าน มีการเดินสำรวจด้วยจีพีเอสเพื่อหาตำแหน่ง ใช้ต้นไม้เป็นหลักฐานว่าทำกินกันมานานก่อนรัฐจะประกาศเขตอุทยานฯ จนสุดท้ายทางราชการต้องออกโฉนดให้
อย่าติดกับดัก “คนใน”
ผศ.ดร.วัฒนา สุกัณศีล อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวในหัวข้อ “การศึกษาท้องถิ่นสามจังหวัดชายแดนใต้ในมุมมองนักวิชาการจากภายนอก” โดยเล่าประสบการณ์ตรงของตนเองจากการเข้าไปทำงานในพื้นที่
“เคยเข้าไปศึกษาชุมชนบ้านดาโต๊ะ (อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี) โดยจ้างนักศึกษามุสลิมที่พูดมลายูได้ให้เขาเป็นคนถามและฟังชาวบ้าน จากนั้นก็แปลให้เราฟัง แต่แทนที่นักศึกษาจะแปลคำต่อคำ กลายเป็นว่านักศึกษาไปสอนชาวบ้านให้รู้ว่าสิ่งที่ชาวบ้านพูด เข้าใจ และให้ความคิดเห็นนั้นไม่ถูกต้อง แล้วพยายามอธิบายว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไร เช่น เมื่อถามถึงประเพณีวัฒนธรรม ซึ่งการปฏิบัติของชาวบ้านไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา นักศึกษาที่เป็นล่ามก็จะสอนชาวบ้าน ก่อนจะหันกลับมาแปลสรุปสั้นๆ ให้เราฟังในสิ่งที่เป็นความเชื่อของตนเอง พอเราถามว่าทำไมคุยกันยาว แต่แปลสั้น นักศึกษาบอกว่าที่ชาวบ้านพูดไม่ถูกต้อง เขาต้องแก้ไข”
จากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้ ผศ.ดร.วัฒนา เห็นว่า ความแตกต่างทางวัฒนธรรมภายในกลุ่มมลายูมุสลิมเป็นอุปสรรคที่กางกั้นระหว่าง “คนใน” ด้วยกันเอง เพราะฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าตัวเองถูกต้องมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง และ “คนใน” มีหลายระดับ ซึ่งลักษณะหลายระดับนี้เองทำให้แนวคิดที่ว่า “คนใน” ย่อมเข้าใจ “คนใน” ด้วยกัน ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป
ผศ.ดร.วัฒนา ยังตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อมีงานศึกษาเรื่องมุสลิมโดย "คนนอก" มักจะถูกโต้แย้งจาก “คนใน” ว่าไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง และไม่รู้เรื่องดีเท่ากับคนมุสลิมด้วยกัน แต่คนที่โต้แย้งก็ไม่ได้ผลิตงานวิชาการที่ทำความเข้าใจและสร้างความเข้าใจต่อชุมชนและสังคมของตนเองอย่างมีพลวัตเพียงพอ ขณะที่งานศึกษาของนักวิชาการมุสลิมส่วนใหญ่จะค่อนข้างจำกัดอยู่แต่ในกรอบศาสนา ไม่สนใจชุมชน ทำให้ไม่รู้ว่าชาวบ้าน ชุมชน และสังคมนั้นอยู่อย่างไร มีความเป็นมาอย่างไร เปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างไร นอกจากหัวข้อจะแคบแล้ว ขนบความคิดบางอย่างมีผลให้การผลิตงานวิชาการมีจำนวนน้อยมาก
นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยังแสดงความเห็นถึงหนังสือจากงานวิจัยชุด "การศึกษาท้องถิ่นอย่างมีส่วนร่วม" ทั้ง 4 เล่ม โดยเฉพาะเรื่อง “จากยาลอเป็นยะลา” ว่า ได้ฉายภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมวัฒนธรรม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เองได้ส่งให้ “ภายใน” สังคมปริแตกและขัดแย้งกัน การศึกษาทั้งหมดนี้โต้แย้งกับชุดคำอธิบายที่มองเห็นแต่ "ปัจจัยภายนอก" เท่านั้นที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง “ภายใน” สังคมมุสลิม เพราะ "ปัจจัยภายใน" ในแต่ละมิติของสังคมส่งผลควบคู่กับ "ปัจจัยภายนอก"
“ทำไมการเปลี่ยนแปลงในสังคมจึงมีทิศทางถดถอย ตกต่ำ และอ่อนแอลงมาก ลำพังแต่การอธิบายว่าสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอกนั้นคงไม่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจ อาจต้องกลับมาตรวจสอบ และวิพากษ์วิจารณ์กันภายในสังคมให้มากขึ้นหรือไม่” ผศ.ดร.วัฒนา ตั้งคำถาม
นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยกตัวอย่างทิ้งท้ายจากประสบการณ์การศึกษาชุมชนประมงพื้นบ้านในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
“เคยไปคุยกับชาวประมงพื้นบ้านว่ามีภูมิปัญญาอะไรบ้าง ชาวบ้านตอบว่าไม่มีภูมิปัญญาอะไรเลย การถามตอบเช่นนี้เป็นวิธีวิจัยที่เรียกว่าสัมภาษณ์เชิงลึก ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้ความสำคัญกับมุมมองของชาวบ้าน เสียงชาวบ้าน และนิยามความหมาย รวมถึงคุณค่าอุดมการณ์ทางสังคม ถ้าเรายึดเพียงว่าให้ชาวบ้านตอบ ชาวบ้านเท่านั้นที่รู้ดี คำตอบของการวิจัยนี้ก็คงสรุปว่า ชาวบ้านไม่มีภูมิปัญญาอะไรเลย เพราะชาวบ้านตอบอย่างนั้น”
“แต่เมื่ออาศัยวิธีวิจัยอื่นเข้าไปร่วมศึกษาด้วย เช่น การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม ก็จะพบว่าการทำประมงของชาวบ้านต้องใช้องค์ความรู้หลายอย่าง เช่น การใช้เครื่องมือจับปลาและวิธีการที่ใช้ เรียกว่าเป็นนวัตกรรมเลยก็ว่าได้ ทำให้เห็นว่าชาวบ้านมีภูมิปัญญา แต่การที่เขาทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันเป็นสิ่งที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว ก็เลยไม่สนใจ และมองข้ามไป คิดว่าไม่มีอะไร ไม่ใช่ภูมิปัญญา”
กรณีตัวอย่างนี้ทำให้เห็นว่า “คนนอก” ที่ไม่ได้มีประสบการณ์แบบเดียวกับ “คนใน” สามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นปกติ ไม่มีอะไร หรือเป็นเรื่องที่ทำๆ กันมาอย่างมีระยะห่างเพียงพอต่อการรับรู้ความคมชัดของสิ่งเหล่านั้นต่างไปจากชาวบ้าน ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับว่าใช้กรอบการวิเคราะห์ใดเข้าไปศึกษามากกว่า
นับเป็นประเด็น “ท้าทาย” ที่น่าคิดและสานต่อไม่น้อยทีเดียว!
-----------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : บรรยากาศในงานสัมมนา "ภูมิวัฒนธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" (ซ้าย) ดร.ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ (ขวา) ศ.ดร.สวัสดิ์ ตันตระรัตน์
ขอบคุณ : ภาพจากเว็บไซต์โต๊ะข่าวเพื่อชุมชน สถาบันอิศรา