ในที่สุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็อนุมัติงบประมาณจำนวน 2,080 ล้านบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไฟใต้ โดยแบ่งกลุ่มผู้ที่อยู่ในข่ายได้รับเงินเยียวยาออกเป็น 4 กลุ่มตามที่ "ทีมข่าวอิศรา" ได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้
ความเดิมตอนที่แล้ว กัณหา แสงรายา อรรถาธิบายค้างไว้ถึงชนชาติไตหรือไท ที่อยู่นอกประเทศไทย และใช้ "ภาษาไท" ในการสื่อสาร ซึ่งมีอีกนับสิบๆ ล้านคน สารคดีชุด "ภาษาอาเซียน" ในตอนจบจะมาว่ากันต่อ พร้อมกับบทสรุปแนวโน้มความเป็นไปของภาษาและวัฒนธรรมหลังนับหนึ่งประชาคมอาเซียน
ผ่านไปแล้ว 1 สัปดาห์สำหรับเหตุ "คาร์บอมบ์" ครั้งรุนแรงในย่านธุรกิจกลางเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา และ อ.เมือง จ.ยะลา แต่แทนที่ฝ่ายการเมืองและหน่วยงานที่รับผิดชอบจะพยายามเร่งควานหาสาเหตุหรือจุดโหว่จุดพลาดว่าอะไรที่ทำให้กลุ่มคนร้ายลอบวางระเบิดจนสร้างความเสียหายระดับนี้ได้ ทว่ากลับต้องมาทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่อง...ใครไปเจรจากับแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน!?!
สารคดีชุด "ภาษาอาเซียน" ตอนที่ 3 กัณหา แสงรายา ยังคงเจาะลึกถึงรากเหง้าและวิวัฒนาการของ "ภาษาไทย" หนึ่งในภาษาอาเซียนที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราให้ความสนใจกันไม่น้อย อีกทั้งไม่ใช่เป็นภาษาที่พูดและใช้กันเฉพาะ "คนไทย" ในประเทศไทยอย่างที่เข้าใจกันเท่านั้น ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันน่าตื่นตาตื่นใจนี้หลายคนที่เป็น "เจ้าของภาษา" เอง ก็อาจจะยังไม่เคยทราบ
สารคดีชุด "ภาษาอาเซียน" ตอนที่ 2 นี้ กัณหา แสงรายา เจาะไปที่บทบาทของสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะ "พี่เบิ้ม" แห่งเอเชีย และย้อนกลับมาพูดถึงความสำคัญของ "ภาษาไทย" ซึ่งมีคนในอาเซียนใช้สื่อสารไม่น้อยเหมือนกัน
"ประชาคมอาเซียน" อาจเป็นความหวังใหม่เพียงหนึ่งเดียวของนักเรียนหนุ่มสาวในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกวันนี้ เป็นความหวังอันเนื่องมาจากพวกเขาเริ่มเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายและอยากหนีให้พ้นสภาพปัจจุบันที่เกิดเหตุร้ายขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ทั้งๆ ที่เหตุประทุรอบใหม่นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว คือตั้งแต่ พ.ศ.2547 หรือเมื่อ 8 ปีที่แล้ว
"เรื่องที่เกิดขึ้นทุกเรื่องในภาคใต้กองทัพบกไม่เคยนิ่งนอนใจ และได้นำบทเรียนต่างๆ มาแก้ไข ไม่ว่าจะเกิดคดีความเรื่องใด ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ ซึ่งผมจะลงโทษผู้บังคับหน่วยว่าไม่ได้กวดขันเข้มงวดกำลังพลเท่าที่ควร ก็อยากจะขอโทษแทนในส่วนของกองทัพบกและ กอ.รมน.ด้วย"
หลายคนเรียกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า "แดนสนธยา" เพราะมีหลากหลายปัญหาซ้อนทับอยู่บนผลประโยชน์มหาศาล ขณะที่การ "เข้าถึง" ของอำนาจรัฐนั้น แม้จะมีการส่งกำลังจากนอกพื้นที่ลงไปมากกว่า 6 หมื่นนาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในหลายตำบล หลายหมู่บ้าน อำนาจรัฐยังไม่อาจเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
เสียงระเบิดที่ดังก้องบริเวณลานหน้าโรงพัก สภ.เมืองปัตตานี และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ตามด้วยเสียงกรีดร้อง ลิ่มเลือด และน้ำตา เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2553 นั้น ถึงวันนี้หลายคนคงลืมเลือนไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในวันนั้นที่ยังต้องทนทุกข์และมิอาจลบฝันร้ายไปจากความทรงจำ
พันเอก ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง นายทหารนักยุทธศาสตร์ชื่อดัง เจ้าของนามปากกา "ทอทหาร" เขียนบทความในเว็บไซต์ http://tortaharn.net เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางลงพื้นที่ชายแดนใต้เที่ยวล่าสุดโดยถอดเครื่องแบบทหาร แต่ไปในฐานะนักวิชาการเพื่อเป็นวิทยากรในเวทีเสวนาที่มีแต่เยาวชนและนักศึกษา ทำให้ได้สัมผัสแนวคิดและวิถีธรรมดาๆ ของคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากประสบการณ์ที่เคยรับรู้มา