- Home
- South
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวภาคใต้
- คำแถลงนายกฯ ยอมถอยจัดเลือกตั้งใหม่ 14 พ.ย. เสนอ 5 ข้อปฏิรูปประเทศไทย
คำแถลงนายกฯ ยอมถอยจัดเลือกตั้งใหม่ 14 พ.ย. เสนอ 5 ข้อปฏิรูปประเทศไทย
ทีมข่าวอิศรา
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
คำแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อเวลา 21.10 น.วันจันทร์ที่ 3 พ.ค.2553 อาจเป็นคำแถลงที่สามารถปลดชนวนรุนแรงทางการเมืองที่ยืดเยื้อมานานร่วม 2 เดือนจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงได้ เมื่อนายกฯให้คำมั่นเรื่องการปฏิรูปประเทศไทย และพร้อมจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พ.ย. นั่นหมายถึงการยุบสภาภายใน 5 เดือนนี้
ข้อเสนอที่เป็นทางออกทางการเมืองตามที่ นายกฯอภิสิทธิ์ นำเสนอ คือสิ่งที่เรียกว่า "กระบวนการปรองดอง" โดยระบุว่า เป็นการสรุปรวมข้อมูลจากที่ได้รับฟังประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงผู้ชุมนุม นักวิชาการ องค์กรภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และประชาชนคนธรรมดาที่ได้ถ่ายทอดปัญหาความเดือดร้อนที่อาจจะเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งของสังคมในปัจจุบันอย่างครบถ้วน
“กระบวนการปรองดอง” ตามที่ระบุถึงนั้น นายกฯอภิสิทธิ์ บอกว่ามี 5 องค์ประกอบ ซึ่งถ้าประชาชนทุกคนทุกฝ่ายร่วมมือกัน จะทำให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุขได้อย่างรวดเร็ว โดย 5 องค์ประกอบ ได้แก่
1.ทุกคนมีภาระหน้าที่ต้องช่วยกันไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกดึงลงมาสู่ความขัดแย้งในปัจจุบัน ทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันทำงานเพื่อเทิดทูนเชิดชูสถาบัน และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ดูแลไม่ให้มีสื่อใดจาบจ้วงหรือละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ให้ถูกดึงมาสู่ประเด็นขัดแย้งทางการเมืองอีกต่อไป
2.ความขัดแย้งที่เกิดในบ้านเมืองอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องการเมือง แต่ก็มีรากฐานมาจากความไม่เป็นธรรมที่มีอยู่ในสังคมและระบบเศรษฐกิจด้วย ประชาชนทั้งที่มาชุมนุมและไม่ได้มาชุมนุมล้วนได้สัมผัสถึงความไม่เป็นธรรมในชีวิตไม่มากก็น้อย แต่คนที่มาร่วมชุมนุมมีเงื่อนไขของการไม่ได้รับความเป็นธรรม รู้สึกถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับโอกาส หรือถูกรังแกจากผู้มีอำนาจมากกว่า จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข มิฉะนั้นจะกลายเป็นการสร้างความขัดแย้งในสังคมอย่างกว้างขวาง
ฉะนั้นถึงเวลาแล้ววันนี้ที่ประชาชนคนไทยทุกคนจะได้รับการดูแลด้วยระบบสวัสดิการที่ดี และมีโอกาสเท่าเทียมกันเรื่องการศึกษา สาธารณสุข การมีอาชีพ มีรายได้ มีความมั่นคงในชีวิต รวมถึงประชาชนที่เดือดร้อนเป็นพิเศษในทางใดทางหนึ่ง จะต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ
กระบวนการปรองดองหรือปฏิรูประเทศ จะดึงเอาทุกภาคส่วนในสังคมเข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ โดยมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมอย่างเป็นระบบ และมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะสามารถยกระดับรายได้ สร้างโอกาสให้ประชาชนที่สามารถประเมินผลได้ และเป็นเรื่องที่ทุกรัฐบาลต้องเข้ามาดำเนินการสืบต่อไป
3.เรื่องการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง ใช้ช่องว่างของกฎหมายที่เทคโนโลยีของสื่อก้าวไปไกลกว่า เช่น อินเทอร์เน็ต ทีวีดาวเทียม ทีวีบอกรับสมาชิก เคเบิลทีวี วิทยุชุมชน หรือแม้แต่สถานีโทรทัศน์ของรัฐก็ถูกวิจารณ์ด้วย
ฉะนั้นในกระบวนการการปรองดอง สื่อต้องมีสิทธิเสรีภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีกลไกที่เป็นอิสระเข้าไปกำกับอย่างแท้จริงว่า แม้จะมีอิสระ แต่ต้องไม่นำเสนอข้อมูลข่าวสารในแง่ของการสร้างความขัดแย้ง ความเกลียดชัง การดูแลสื่อให้ทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ จะช่วยให้สังคมกลับมาปรองดอง สงบสุขอย่างรวดเร็ว
4.หลังจากที่ได้มีการชุมนุมเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดตั้งแต่เดือน มี.ค.2553 มีหลายเหตุการณ์ที่มีความรุนแรง มีความสูญเสีย ทำให้เกิดความคลางแคลงใจ เกิดข้อกล่าวหาต่างๆ นานา นำไปสู่ความแตกแยกเกลียดชังกันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ทั้งฝ่ายทหารและผู้ชุมนุม ความสูญเสียเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ถนนสีลม และวันที่ 28 เม.ย.บริเวณดอนเมือง ล้วนแล้วแต่กระทบจิตใจ แม้กระทั่งเหตุการณ์ที่ไม่ได้มีการสูญเสีย เช่น โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็กระทบจิตใจพี่น้องประชาชนจำนวนมาก
ทุกเหตุการณ์จำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ชำระสะสางให้ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุและข้อเท็จจริงเหล่านี้ จึงต้องมีคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และให้ความจริงปรากฏแก่สังคม
5.ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาทำให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมในหลายๆ ด้าน เช่น รัฐธรรมนูญบางมาตรา กฎหมายหลายฉบับ และการตัดสิทธิบุคคลในวงการเมือง ฉะนั้นต้องนำเรื่องเหล่านี้มาวาง แล้วระดมความเห็นเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการชุมนุมช่วงที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุนเฉินฯ ที่แม้จะเป็นความผิด แต่อาจจะต้องนำมาพิจารณา ไม่ให้นำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคตต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบของการปรองดอง หากเราเริ่มต้นกันตั้งแต่วันนี้ใน 5 ข้อนี้ และประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าร่วม ให้รัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมือง องค์กรภาคประชาชน สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเต็มที่ ไม่มีการขัดขวาง สร้างความแตกแยก หรือเคลื่อนไหวในลักษณะสร้างความปั่นป่วนหรือปะทะกัน ก็เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นานนัก จะสามารถสร้างความปรองดองและปกติสุขกลับคืนสู่สังคมได้
"เมื่อเป็นอย่างนั้นรัฐบาลก็พร้อมจะจัดการเลือกตั้งใหม่ ให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง หากทำได้เช่นนี้ การเลือกตั้งสามารถเกิดขึ้นได้ภายในวันที่ 14 พ.ย." นายกรัฐมนตรี ระบุ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับผู้ชุมนุมที่เดินทางมาชุมนุมนั้น รัฐบาลได้ยินข้อเรียกร้องของทุกท่าน แต่คงไม่สามารถตอบสนองเรื่องยุบสภาภายใน 15 วันหรือ 1 เดือนได้ แต่เชื่อว่ากระบวนการปรองดองที่รัฐบาลเสนอจะแก้ไขปัญหาของผู้ชุมนุมได้ แม้จะไม่เป็นที่พอใจ แต่ก็มีคำตอบให้ไม่มากก็น้อย และจะนำไปสู่การแก้ไขทุกปัญหาได้อย่างแท้จริง
ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมก็ดี และผู้ที่ให้กำลังใจรัฐบาลอย่างมากมายก็ดี เสียงส่วนนี้อาจไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา หรือลดวาระของรัฐบาลลงมา แต่ข้อเสนอที่เสนอขอย้ำว่าเป็นการยึดมั่นในหลักการการเป็นนิติรัฐ ข้อเสนอทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอที่เป็นคำตอบทางการเมือง แต่คดีอาญาต่างๆ ต้องเดินหน้าต่อไปตามปกติ ถือเป็นข้อเสนอที่รักษาทั้งนิติรัฐ และรักษาระบบการปกครองของประเทศเอาไว้ หากผู้ชุมนุมไม่รับข้อเสนอนี้ รัฐบาลก็จะพยายามทำต่อไป แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่