แทบทุกคนคงจดจำ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้ดีในฐานะอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารล้มรัฐบาลประชาธิปไตยเที่ยวล่าสุดเมื่อ 19 พ.ย.2549 แต่สำหรับคอข่าวชายแดนใต้คงจดจำเขาได้ในฐานะอดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) สายเลือดมุสลิมที่ได้รับการฝากความหวังว่าจะ "ดับไฟใต้" ได้สำเร็จ
โศกนาฏกรรมเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 หรือที่รู้จักกันดีในนาม "เหตุการณ์กรือเซะ" ซึ่งก่อความสูญเสียชีวิตผู้คนและเจ้าหน้าที่รัฐรวม 108 ชีวิตนั้น จนถึงวันนี้ยังคงเป็นปริศนาดำมืดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เหตุใดวัยรุ่นและชายฉกรรจ์มุสลิมนับร้อยคนซึ่งส่วนใหญ่มีเพียง "มีด" กับ "กริช" จึงกล้าบุกเข้าโจมตีป้อมจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ซึ่งมีอาวุธครบมือ
"ที่ผ่านมายอมรับว่าพ่อไปเสียชีวิตในเหตุการณ์ 28 เมษาฯในมัสยิดกรือเซะ ถ้าหากคนจะพิพากษาว่าพ่อเป็นกลุ่มก่อการร้าย แล้วลูกเมียที่อยู่ข้างหลังล่ะ สมควรที่จะถูกพิพากษาว่าเป็นลูกกบฎไปด้วยหรือ เพราะเราไม่ได้มีส่วนรู้เห็นถึงการกระทำของผู้นำครอบครัวเลย"
ข้อเสนอว่าด้วยการจัดรูปการปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีโมเดล "นครปัตตานี" เป็นกระแสนำนั้น จริงๆ แล้วมีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในดินแดนปลายสุดด้ามขวานมาร่วม 2 ปีแล้ว และล่าสุดยิ่งใกล้เลือกตั้ง กระแสเรื่องนี้ยิ่งแรง โดยเฉพาะเมื่อพรรคเพื่อไทยได้ยกร่างกฎหมาย "นครปัตตานี" ขึ้นมาเสร็จสรรพ พร้อมเดินหน้าทันทีหากได้เป็นรัฐบาล
เหตุรุนแรงถี่ยิบรวมทั้งระเบิดตั้งแต่เปิดศักราช 2554 เป็นต้นมา โดยเฉพาะคาร์บอมบ์และมอเตอร์ไซค์บอมบ์กลางเมืองยะลาซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการบริหารราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ในพื้นที่เท่านั้นที่สั่นสะเทือน ทว่ายังเลื่อนลั่นไปถึงกรุงเทพมหานครด้วย
เหตุรุนแรงถี่ยิบที่เกิดขึ้นทั่วทั้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วข้ามมาถึงเดือนที่ 3 ของปีนี้ (2554) โดยเฉพาะเหตุรุนแรงขนาดใหญ่อย่าง "คาร์บอมบ์กลางเมือง" ทำให้หลายฝ่ายหันมาสนใจผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและเศรษฐกิจระดับชุมชนในพื้นที่กันอีกครั้ง
สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ผ่าน "หลักไมล์ 7 ปี" ด้วยความหวัง ทั้งการที่รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนำร่องในบางอำเภอของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามด้วยการเร่งใช้มาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพื่อเปิดยุทธการแย่งชิงมวลชนจากฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบอีกระลอก
เหตุระเบิดอย่างรุนแรง 3 ครั้งใน 8 วัน แถม 2 ใน 3 ยังเกิดในย่านเศรษฐกิจกลางเมืองยะลา ทำให้รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงถูกตั้งคำถามเซ็งแซ่ว่า ที่เคยบอกสถานการณ์กำลังดีขึ้นนั้น...ดีอย่างไร? และที่บอกว่าแก้ปัญหามาถูกทางนั้น...ถูกตรงไหน?
"ทีมข่าวอิศรา" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นายเดวิด ลิปแมน เอกอัครราชทูต และหัวหน้าคณะผู้แทนคณะกรรมาธิการยุโรปประจำประเทศไทย ถึงมุมมองและบทบาทของสหภาพยุโรป (อียู) ที่มีต่อปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทางออกของปัญหาขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ อีกหลายประเด็น
ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา ดูเหมือนข่าวสารจากชายแดนใต้ไม่ได้เพลาความร้อนแรงลงเลย นับเฉพาะเหตุการณ์ร้ายขนาดใหญ่ในลักษณะ “สังหารหมู่” ซึ่งเดิมมักเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง แต่ปีนี้ผ่านมาแค่เดือนเศษกลับเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายต่อหลายครั้ง