เบื้องหลังตัดผู้เข้าข่ายผิด 45 เหลือ 26 คนปมขายที่ดินการเคหะฯ อ้างเยอะไป-เสียขวัญ

เขียนวันที่

วันพฤหัสบดี ที่ 25 ตุลาคม 2561 เวลา 20:30 น.

เขียนโดย

isranews

หมวดหมู่

รายงาน-สกู๊ป | Isranews | การทำผิดของเอกชน | เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา

Tags

เปิดเบื้องหลังตัดผู้เข้าข่ายผิด จาก 45 เหลือเฉพาะอยู่ราชการ 26 คน ปมการเคหะฯตัดขายที่ดิน 28.8 ล. เอื้อเอกชน อ้างจำนวนเยอะเกินไป-มีผู้ร้องเรียน ต้องเลื่อนตำแหน่ง เกรงเสียขวัญ ตอนนี้ยังไม่มีใครถูกลงโทษ

picladmdmdmdm25 10 18

ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องเกาะติด! กรณีการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ตัดขายที่ดินบางส่วนของโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนหารายได้ร่มเกล้า ระยะที่ 10 (พาร์ควิลล์ร่มเกล้า) เนื้อที่ 0-2-83.4 ไร่ ( กว้าง 22 x ยาว 47 เมตร) ให้แก่ชาวบ้าน 8 รายในราคา 28,897,000 บาท อ้างว่าเป็นทางเข้าออกที่ดินตาบอด 10 ไร่ ปรากฎว่าชาวบ้านได้โอนกรรมสิทธิ์ให้บริษัทในเครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทันที ทำให้ถูกร้องเรียนว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนเจ้าของหมู่บ้านจัดสรรซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินค่าซื้อที่ดิน เหตุเกิดช่วงปลายปี 2558 มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างน้อย 6 ชุด ผ่านมาเกือบ 3 ปียังไม่สามารถเอาผิดใครได้ ล่าสุดรายงานผลการสอบสวนถูกส่งถึง พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตามข่าวก่อนหน้านี้ (อ่านประกอบ:ยังไม่ทราบปมลดผู้เข้าข่ายกระทำผิด! 'อนันตพร' เผยผลสอบการเคหะฯตัดขายที่ดินถึงมือแล้ว)

ในการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานไปแล้ว ผลการสอบสวนข้อเท็จจิงชุด น.ส.อุบลวรรณ สืบยุบล รองผู้ว่าการฯ (ต่อมา รักษาการ ผู้ว่าการฯ) เป็นประธานกรรมการ ส่งให้นายธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการฯ คนปัจจุบัน เมื่อเดือน มิ.ย.2560 เห็นควรให้ยุติเรือง อ้างว่า ขั้นตอนกระบวนการเกี่ยวกับการขายที่ดินแปลงนี้เป็นการซื้อขายปกติ การที่ผู้ซื้อ (ชาวบ้าน 8 ราย) จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อไปให้กับเอกชนเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดหมายได้และอยู่นอกเหนือที่การเคหะฯจึงจะรับรู้

ขณะที่ผลการสอบสวนชุด นายบัญชา บัญชาดิฐ ผู้ช่วยผู้ว่าการ (ต่อมาเป็นรองผู้ว่าการฯ) เป็นประธานกรรมการ รายงานผลการสอบสวนฯต่อให้ผู้ว่าการฯ เมื่อเดือน ส.ค.2560 สรุปว่า มีผู้เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอนบกพร่อง ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้กับผู้อื่นเป็นเหตุให้การเคหะฯได้รับความเสียหาย เข้าข่ายเป็นการกระทำผิดวินัยและอาญา รวม 45 คน แบ่งเป็น รับราชการ 31 คน (ขณะนั้น) และ เกษียณอายุราชการ 14 คน ปรากฏว่า ผู้ว่าการฯ มีคำสั่ง วันที่ 5 ก.ย.2560 ระบุว่า “เนื่องจากมีบุคคลที่เกี่ยวข้องในการสอบข้อเท็จจริงเป็นจำนวนมาก เห็นควรให้ทบทวนแยกเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และมีหลักฐานชัดเจนเพียงพอ โดยแยกการพิจารณาเป็นรายกลุ่ม เสนออีกครั้ง”

กระทั่งต่อมาวันที่ 22 ม.ค.2561 นายธัชพล มีคำสั่ง ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีกหนึ่งชุดมีนายณรงค์ คงคำ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) (ตำแหน่งขณะนั้น) เป็นประธาน คำสั่งดังกล่าวจำแนกผู้ถูกสอบสวนเป็น 3 กลุ่ม รวม 26 ราย ที่ยังอยู่ในราชการ

ล่าสุดแหล่งข่าวจากการเคหะฯเปิดเผยเบื้องหลังว่า ผู้บริหารรดับสูงเรียกหารืออ้างว่ารายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการชุดนายบัญชา บัญชาดิฐ ที่ระบุว่ามีผู้เข้าข่ายกระทำผิดจำนวน 45 คน นั้น มีจำนวนเยอะไป และมีผู้ร้องเรียนขอความเป็นธรรม เนื่องจากบางคนจะได้รับการเสนอชื่อเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น เกรงว่าผู้ปฏิบัติงานจะเสียขวัญ เสียกำลังใจ จึงสั่งให้ทบทวนการสอบสวน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผู้บริหารระดับสูงได้กำชับนายบัญชาว่าให้เอาผู้ที่พัวพันในเรื่องนี้เอาเข้ามาให้หมด เมื่อสอบสวนเสร็จกลับมาให้ทบทวนใหม่ โดยให้แยกผู้อยูในข่ายกระทำผิดเป็นกลุ่มๆ

เมื่อกรรมการชุดนายบัญชาจำแนกออกเป็นกลุ่ม 3 กลุ่ม ตามคำสั่งของผู้ว่าการฯแล้ว ผู้บริหารระดับสูงได้นำรายงานผลการสอบสวนชุดนายบัญชาไปหารือกับฝ่ายเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. (พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว -ตำแหน่งขณะนั้น) ปลัดกระทรวง พม. (นายไมตรี อินทุสุต-ตำแหน่งขณะนั้น) และคณะกรรมการ การเคหะฯ เห็นควรจะต้องสอบเพิ่มเติมในประเด็นพฤติการณ์การกระทำของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง นายธัชพลจึงแต่งตั้ง นายณรงค์ คงคำ รองปลัดกระทรวง พม. (ตำแหน่งขณะนั้น) เป็นกรรมการสอบสวนเพิ่มเติมอีกชุดหนึ่งคือชุดของนายณรงค์ คงคำ มีกรอบเวลา 30 วัน

“ความจริงคณะกรรมการสอบสวนชุดนายบัญชาเป็นการรวบรวมผู้เกี่ยวข้องในเบื้องต้นเท่านั้นไม่ใช่กรรมการสอบวินัย จึงเป็นการรวบรวมข้อเท็จจริง ผู้เกี่ยวข้องมาทั้งหมด หลังจากนั้นจะต้องพิจารณว่าจะตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยกับใครบ้างซึ่งเป็นกรรมการอีกชุดหนึ่ง แต่กลับให้แยกผู้เกี่ยวข้องเป็นกลุ่มๆ ทำให้เหลือผู้เกี่ยวข้องเพียง 26 คน” แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดนายณรงค์ คงคำ ทำได้เพียง 1 เดือนยังไม่แล้วเสร็จ นายณรงค์ถูกคำสั่งนายกรัฐมนตรีย้ายให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2561 พร้อมกับนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวง พม. อันเนื่องมาจากกรณีเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ วันที่ 14 มี.ค.2561 ผู้ว่าการฯจึงตั้ง น.ส.อุษณี กังวารจิต รองปลัดกระทรวง พม. เป็นประธานกรรมการ แทนนายณรงค์ มีตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นกรรมการ ร่วมกับนายเดช ศิริเดช ผู้อำนวยการกองนิติการ ฝ่ายกฏหมาย การเคหะฯ เป็นเลขานุการ และ นายชนชนม์ เธียรกนิษฐ์ นิติกรระดับ 7 การเคหะฯ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วั น แต่มีขยายเวลาหลายครั้งใช้เวลาสอบสวนถึง 4 เดือน ก่อนจะส่งให้ผู้ว่าการฯ จนถึงขณะนี้ผู้กระทำผิดยังไม่ถูกลงโทษ