"...ผลการตรวจสอบเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูลทั้ง 2 สัญญาดังกล่าว พบว่า การก่อสร้างไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการและข้อกำหนดของสัญญาหลายประการ เช่น ไม่ทำการก่อสร้างรางกรวดบริเวณที่มีตาน้ำ ไม่ตัดรอยต่อโครงสร้างคานรับราวกันตก ไม่ใส่ท่อ PVC ใต้ทางเท้า ความหนาของชั้นหินเรียงน้อยกว่าที่กำหนด และวัสดุทรายถมที่ใช้มีคุณสมบัติทางวิศวกรรมต่ำกว่าข้อกำหนด ทำให้เขื่อนป้องกันตลิ่งมีความมั่นคงแข็งแรงต่ำกว่าที่ควรจะเป็นและเกิดการพังทลาย..."
กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นายสมชาย เมธวัฒน์ธรากุล อดีดรองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการควบคุมการก่อสร้าง กับพวก ซึ่งมีนายอลงกต วรกี สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี รวมอยู่ด้วย กรณีกระทำความผิดต่อหน้าที่ตรวจรับงานจ้างเหมาก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล จำนวน 2 สัญญา โดยผู้รับจ้างดำเนินการก่อสร้างไม่เป็นไปตามรูปแบบรายการและข้อกำหนดของสัญญาจ้างหลายประการทำให้ราชการได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นกรณีสืบเนื่องจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภาคที่ 5 จังหวัดอุบลราชธานี ตรวจสอบการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล ที่บ้านวังยาง ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จังหวัดอุบลราชานี ที่เกิดพังทลาย เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 ไม่สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์นั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข้อมูลเชิงลึกไปแล้วว่า
1. คดีนี้ในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช. นอกจาก นายสมชาย เมธวัฒน์ธรากุล และ นายอลงกต วรกี แล้ว ยังมีผู้ถูกกล่าวหารายอีกกว่า 16 ราย มีทั้งข้าราชการเจ้าหน้าที่ ในฐานะคณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงาน รวมถึงเอกชนผู้รับจ้างงานด้วย
2. จากสืบค้นข้อมูลงานจ้างเหมาก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล จำนวน 2 สัญญาข้างต้น พบว่า มีผู้รับเหมารายเดียวกันเป็นคู่สัญญา คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลมนตรีก่อสร้าง
แยกเป็น 1. สัญญาแรก เลขที่ 179/2557 ลงวันที่ 18 กันยายน 2557 วงเงิน 95,020,000 บาท ระหว่าง กรมโยธาธิการและผังเมือง กับห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลมนตรีก่อสร้าง ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล ความยาว 765 เมตร 2. สัญญาสอง เลขที่ อบ 0022/138/2559 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 วงเงิน 15,858,000 บาท ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานี และห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลมนตรีก่อสร้าง ให้ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูลความยาว 250 เมตร (ต่อเนื่องเขื่อนเดิม) รวมวงเงินจ้างงาน 2 สัญญา อยู่ที่ 110,878,000 บาท
ขณะที่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลมนตรีก่อสร้าง และนางสาว รัตติกา กัลป์ตินันท์ ปรากฏชื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหา ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีนี้ด้วย มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 162 (1) (4)
สำหรับ นางสาวรัตติกา กัลป์ตินันท์ มีนามสกุลเดียวกับ นายเกรียง กัลป์ตินันท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และนายกานต์ กัลป์ตินันท์ (น้องชาย นายเกรียง ) นายก อบจ.อุบลฯ ส่วน ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลมนตรีก่อสร้าง เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในจังหวัดอุบลราชธานี ที่ได้รับงานภาครัฐในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วงเงินหลายพันล้านบาท ในเว็บไซต์ภาษีไปไหน ระบุข้อมูลในช่วงปี 2568 ได้รับงานไป 14 โครงการ รวมวงเงิน 1,408.17 ล้านบาท

- ป.ป.ช.ชี้มูลอดีตรองอธิบดีกรมโยธาฯ-พวก รวม 'อลงกต วรกี' ตรวจรับงานเขื่อนฯแม่น้ำมูลมิชอบ
- เปิดตัวหจก.คนสกุล'กัลป์ตินันท์' โดนชี้มูลคดีตรวจรับงานเขื่อนฯแม่น้ำมูล 2 สัญญา 110 ล.
ต่อไปนี้ เป็นพฤติการณ์การกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาในคดีนี้ ของ ป.ป.ช. มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
@ ข้อกล่าวหาในคดี
คดีนี้เป็นกรณีกล่าวหา นายสมชาย เมธวัฒน์ธรากุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักควบคุมการก่อสร้างกับพวก ว่า กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 5 (จังหวัดอุบลราชธานี) ได้ตรวจสอบการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล ที่บ้านวังยาง ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเกิดการพังทลายเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 ไม่สามารถ ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ จำนวน 2 สัญญา
โดยวิธีประกวดราคาจ้างด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ ดังนี้
1. สัญญาจ้างเลขที่ 179/2557 ลงวันที่ 18 กันยายน 2557 จำนวนเงิน 95,020,0000 บาท ระหว่างกรมโยธาธิการและผังเมือง และห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลมนตรีก่อสร้าง ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ริมแม่น้ำมูล ความยาว 765 เมตร
2. สัญญาจ้างเลขที่ อบ 0026/138/2559 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 จำนวนเงิน 15,858,000 บาท ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานี และห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลมนตรีก่อสร้าง ให้ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูลความยาว 250 เมตร (ต่อเนื่องเขื่อนเดิม)
สัญญาจ้างเลขที่ 179/2557 คณะกรรมการตรวจการจ้าง ได้ร่วมกันออกตรวจงานก่อสร้าง รวม 4 ครั้ง
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2558
ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2558 เป็นการตรวจสอบการวางแนว การปรับพื้นที่ ตรวจกองวัสดุหินใหญ่และทรายถม
ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2558 เป็นการตรวจสอบระหว่างดำเนินการก่อสร้าง
ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2559 เป็นการตรวจสอบเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ
สัญญาจ้างเลขที่ อบ 0022/138/2559 คณะกรรมการตรวจการจ้าง ได้มีการร่วมกันออกตรวจงานก่อสร้าง 2 ครั้ง
โดยครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2559
@ ผลการตรวจสอบ
ผลการตรวจสอบเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูลทั้ง 2 สัญญาดังกล่าว พบว่า การก่อสร้างไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการและข้อกำหนดของสัญญาหลายประการ เช่น ไม่ทำการก่อสร้างรางกรวดบริเวณที่มีตาน้ำ ไม่ตัดรอยต่อโครงสร้างคานรับราวกันตก ไม่ใส่ท่อ PVC ใต้ทางเท้า ความหนาของชั้นหินเรียงน้อยกว่าที่กำหนด และวัสดุทรายถมที่ใช้มีคุณสมบัติทางวิศวกรรมต่ำกว่าข้อกำหนด ทำให้เขื่อนป้องกันตลิ่งมีความมั่นคงแข็งแรงต่ำกว่าที่ควรจะเป็นและเกิดการพังทลาย
สำหรับลักษณะการพังทลายของเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล ช่วง C-D ยาวประมาณ 400 เมตร เป็นการพังเสียหายโดยสิ้นเชิง นับแต่โครงสร้างตีนเขื่อนที่เกิดการเคลื่อนตัวไปจากตำแหน่งเดิม และไม่สามารถรับน้ำหนักของตัวเขื่อนด้านบนได้ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ขั้นตอนการปรับพื้นที่กำจัดดินเลน/ดินตะกอนที่มีคุณสมบัติไม่พึงประสงค์ในงานด้านวิศวกรรมออกจากพื้นที่การก่อสร้างไม่หมด หรือเกิดจากการก่อสร้างไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการที่กำหนด เป็นต้น
เมื่อตีนเขื่อนซึ่งทำหน้าที่เป็นฐานรากพังหลายแล้วโครงสร้างเขื่อนด้านบน ซึ่งประกอบด้วยชั้นหินเรียงและทรายถมซึ่งมีน้ำหนักมาก ประกอบกับบริเวณดังกล่าว มีตาน้ำหลายจุดมีปริมาณน้ำมาก แต่วัสดุทรายถม มีคุณสมบัติทางวิศวกรรมที่ไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการ จึงทำให้การระบายน้ำได้ช้า และไม่มีการก่อสร้างรางกรวดไว้เป็นช่องทางการระบายน้ำออกสู่หน้าเขื่อน ตามรายละเอียดประกอบแบบกำหนด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อความมั่นคงเข็งแรงของเขื่อนต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็น และในที่สุดจึงเกิดการพังทลายตามที่ปรากฏ
รวมความเสียหาย จำนวนเงินค่าจ้าง 110,492,000 บาท
เบื้องต้น ในการไต่สวนคดีนี้ ไม่มีการกันตัวบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหารายใดไว้เป็นพยาน
ขณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นชอบให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีและส่งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ต่อไป
ส่วนข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ สำนักข่าวอิศรา จะนำมาเสนอต่อไป
